วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง


เทคโนโลยีการแสดงผลเสียง

ลำโพงสปีกเกอร์ไร้สาย


imgwirelessspeaker

ด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นของเทคโนโลยีลำโพงไร้สาย (Wireless speaker) คุณสามารถฟังเพลงโปรดของคุณได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นสนามหลังบ้าน หรือแม้แต่สนามหลังบ้านของเพื่อนบ้าน ในวันนี้เราจะแนะนำและอธิบายเทคโนโลยีไร้สาย 3 แบบยอดนิยมพร้อมกับจัดอันดับลำโพงไร้สายที่คุ้มค่าที่สุด
Bluetooth – บลูทูธเป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุเพื่อช่วยให้อุปกรณ์ในการสื่อสารกับแต่ละอื่น ๆ เพราะคลื่นวิทยุสามารถผ่านวัตถุที่เป็นของแข็งเช่นผนังพื้นและประตูโดยไม่จำเป็นต้องเรียงอุปกรณ์ให้ตรงกันเพื่อเปิดใช้งานบลูทูธ ลำโพงที่มีบลูทูธเทคโนโลยีมักจะง่ายต่อการจับคู่กับอุปกรณ์เช่น iPod iPhone หรือเครื่องเล่นเพลงพกพาทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม Bluetooth มีช่วงระยะทำงานสั้น ๆ – ซึ่งปรกติแล้วจะไม่เกิน 9 เมตรระหว่างสองอุปกรณ์ ดังนั้นถ้าคุณต้องวางลำโพงอยู่ไกลออกไปจากเครื่องเพลงของคุณ คุณอาจต้องต้องพิจารณาลำโพงที่มีระบบ WiFi นอกจากนี้ปริมาณของข้อมูลที่สามารถส่งผ่านการเชื่อมต่อบลูทูธนั้นมีจำกัด ลำโพง WiFi จึงสามารถส่งมอบเสียงได้ระเอียดมากกว่า
WiFi – ไวไฟนั้นใช้เทคโนโลยีวิทยุคลื่นในรูปแบบการเชื่อมต่อแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์เหมือนกัน แต่สัญญาณ WiFi นั้นเร็วกว่า สามารถส่งผ่านข้อมูลได้มากกว่าและทำงานได้ในรัศมีที่กว้างกว่ามาก เทคโนโลยี WiFi ยังคงถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายช่วงรัศมีสัญญาณและความเร็ว มันเป็นเทคโนโลยีที่คุณต้องการหากคุณอยากติดตั้งเครือข่ายเสียงภายในบ้าน แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งคืออุปกรณ์ที่ทำงานผ่านเครือข่าย WiFi มีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานมากกว่าจากบลูทูธ
Airplay - แอร์เพลย์เป็นเทคโนโลยีของ Mac ที่ทำงานผ่านเครือข่ายไร้สายของคุณเพื่อให้เนื้อหาจากทุกอุปกรณ์ของ Mac สื่อสารแบบไร้สายกับอีกเครื่องได้ ดังนั้นถ้าเพลงส่วนใหญ่ของของคุณถูกเก็บไว้ใน iTunes บน Macbook คุณก็จะยิงสัญญานไปยังอุปกรณ์ที่เปิดใช้งาน Airplay ในบ้านโดยไม่ต้องไปผ่านขั้นตอนการติดตั้งเครือข่ายที่ยุ่งยาก

TOP 3 WIRELESS SPEAKER – ลำโพงไร้สายที่ดีที่สุด

soundlinkbose
(1. Bose SoundLink Bluetooth Mobile speaker II)
Libratone ZipLibratone Zipp
(2. Libratone Zip)
jawbone big jambox
(3. Jawbone Big Jambox)

         


- เครื่องเสียงที่มีดีไซน์หรูหรา ด้วยพื้นผิวสีดำมันเงาที่เข้ากับอุปกรณ์ เพื่อความบันเทิงภายในบ้านชิ้นอื่นๆ อย่างลงตัว โดยหน้าจอแสดงผลด้านหน้ามีขนาดใหญ่ และสามารถควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส ในขณะที่แสงไฟสีฟ้าน้ำทะเล (Aqua Blue Lighting) รูปวงแหวนกลางตัวเครื่อง ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของทั้งระบบ 

- ด้านบนออกแบบให้เป็น iPod Docking เพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น iPod ซึ่งควบคุมการเล่นเพลงผ่านรีโมทคอนโทรลได้ทันที และยังชาร์จไฟให้กับ iPod ได้ในตัว และยังมาพร้อมกับชุดลำโพงคุณภาพสูง ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการรับชมรายการโทรทัศน์ที่ยอดเยี่ยม พร้อมความสามารถในการเล่นดีวีดีที่สมบูรณ์แบบ และเทคโนโลยี Virtual Sound Matrix ที่สามารถสร้างเอฟเฟ็กต์เสียงรอบทิศทางได้อย่างสมจริง เสมือนมีลำโพงหลายตัว และเพียบพร้อมด้วยฟังก์ชันการทำงานสมบูรณ์แบบ 

- พลังเสียง 160W(RMS) ล้ำสมัยด้วยดีไซน์ของ Aqua LED Lighting&Inclined Speaker, iPod & iPhone Docking Play & Recharge, รองรับแผ่น DivX play back, USB Plus รองรับไฟล์รูปภาพ, เพลง และภาพยนตร์, USB Direct Recording สามารถแปลงไฟล์เพลงจากแผ่น CD Audio ให้กลายเป็นไฟล์เพลง MP3 บันทึกลงใน USB ได้ทันที 

เครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ 3 มิติ เหนือกว่าด้วยระบบลำโพงแบบ Upright 3D Speakers และ 3D Sound Zooming ครั้งแรกของโลก






3D Sound Zooming
แอลจีขอแนะนำเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์สามมิติแบรนด์แรกของโลก “Cinema 3D Sound Home Theater”  ที่มีเทคโนโลยี3D Sound Zooming ให้ความบันเทิงในระบบ 3 มิติ ถ่ายทอดมิติของเสียงได้อย่างเสมือนจริง ทำให้คุณได้ยินเสียงที่เหมือนกับใกล้เข้ามาหรือไกลออกไปอย่างสมจริง  โดยคลื่นเสียงจะกระจายเสียงขึ้นสู่ด้านด้านบนและสะท้อนเสียงรอบห้องด้วยระบบลำโพง 9.1 Upright 3D
Upright 3D Speakers
นอกจากนั้นยังมีระบบ 3D Surround Processor ที่นำทุกเสียงมาสู่ผู้ฟังแม้จะเป็นรายละเอียดเสียงที่เล็กที่สุด จากการวิเคราะห์และกลั่นกรองเสียงจากต้นฉบับ ที่ซับซ้อน สร้างการรับรู้ของเสียงที่กระจายโดยรอบทั่วทุกมุมห้อง
Sound Field Expansion
ทั้งยังมีระบบ Sound Field Expansion ที่ช่วยกระจายเสียงในแนบราบ ให้เสียงกระจายรอบๆตัวผู้ฟัง เสมือนในโรงภาพยนตร์ ให้คุณดื่มด่ำและเต็มเติมอรรถรสของเสียงสามมิติได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดล

 Aves Digital ค่ายดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพง Blutooth เทคโนโลยี A2DP


 เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับลำโพง bluetooth จากทาง Aves Digital ซึ่งครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะว่ามากันถึง 3 รุ่นพร้อมๆกัน โดยใช้เทคโนโลยี A2DP เหมือนกันหมดทุกรุ่น ไม่ต้องลุ้นว่าตัวไหนมีหรือว่าไม่มี

สำหรับรุ่นท็อปสุดนั่นคือ Aves Digital Diamond (£89) ซึ่งเป็นลำโพงตั้งโต๊ะที่มี driver ถึงสองตัว ซึ่งในแต่ละตัวนั้นมีกำลังขับถึง 15W และมีช่องขนาด 3.5mm ไว้สำหรับใช้กับอุปกรณ์อื่นที่ไม่มี bluetooth

รุ่นรองลงมาคือรุ่น Aves Digital Aqua (£60)  ซึ่งทำงานโดยใช้เพียงสาย USB เพียงเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์เท่านั้นโดยไม่ต้องห่วงว่าใครจะเดินสะดุดสายไฟ หรือถ้าอยากจะเดินถือไปมาก็สามารถทำได้โดยการใช้แบตเตอร์รี่ภายในที่อยู่ได้ถึง 6 ชั่วโมง เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวแบตหมดก่อนหมดวันแน่นอน โดยลำโพงตัวนี้มี driver เพียงตัวเดียว และมีกำลังขับ 3W โดยมาพร้อมกับปุ่มแบบสัมผัส

รุ่นต่อมาคือรุ่น Aves Digital Crystal (£60) ซึ่งมีราคาเท่ากับรุ่น Aqua แต่ส่วนที่แตกต่างคือ Crystal นั้นใช้ driver ขนาด 1.5 นิ้ว จำนวน 2 ตัว โดยความพิเศษของรุ่นนี้คือสามารถใช้สนทนาโทรศัพท์ผ่านทางลำโพงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานระหว่างขับรถโดยไม่ต้องกลัวตำรวจจับ ข้อหาโทรศัพท์ในขณะขับรถให้เปลืองเงินเปล่าๆ

ลำโพง JBL : On Tour XTB

ลำโพง JBL : On Tour XTB
JBL On tour XTB คือลำโพงแบบขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ให้การตอบสนองของเสียงได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงการนำเอาความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยีแบบ Wireless Bluetooth มาใช้ด้วยนั้น ทำให้เจ้า On tour XTB เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเครื่องเสียง JBL ที่ซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนานทั้งทางด้านคุณภาพและความเป็นผู้นำในด้านการผลิตเครื่องเสียง
ความสามารถพิเศษของ JBL On tour XTB คือระบบ Wireless Bluetooth เมื่อคุณเปิดใช้คุณสามารถเชื่อมต่อเข้าได้กับเครื่องเล่น MP3, iPod และ โทรศัพท์มือถือที่รองรับการฟังเพลงทุกชนิดที่มีระบบ Bluetooth หรือเครื่องเล่นอื่นๆ ที่มีสาย Audio Jack ขนาด 3.5″
ทางด้านคุณภาพเสียง JBL On tour XTB จะให้คุณได้สัมผัสกับระบบเสียงแบบใส หนักแน่น ชัดเจน ในทุกรายละเอียด ที่มาจากการออกแบบลำโพงแบบ Compact และ รวมถึงการเพิ่มฟังค์ชั่นการทำงานของระบบ Hands free speaker ที่จะทำให้คุณสามารถพูดคุยโทรศัพท์หรือได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของคุณ เชิญลองสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่จาก JBL On tour XTB Sound Center

ลำโพง YAMAHA : SWK-W10

ลำโพง YAMAHA : SWK-W10
ลำโพง YAMAHA : SWK-W10
ลำโพงชุดซับวูฟเฟอร์ไร้สาย  คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น AirWired-compatible กับซับวูฟเฟอร์ไร้สายได้ การเชื่อมโยง AirWired เป็นการส่งสัญญาณโดยไม่ถูกบีบอัด (linear PCM) เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการสูญเสียของสัญญาณข้อมูล ซึ่งจะทำให้ได้คุณภาพเสียงสูงสุด

ลำโพง JBL : ON TOUR IBT

ลำโพง JBL : ON TOUR IBT
ลำโพง JBL : ON TOUR IBT
High-performance portable sound system with Bluetooth® technology 
เพลิดเพลินกับภาพยนตร์,เพลงหรือเกมได้ทุกที่แบบไร้สาย ด้วยเทคโนโลยี Bluetooth มีไมค์ในตัวให้คุณแชท หรือสนทนา ผ่านทาง Speakerphone มีขาตั้งเพื่อให้คุณสามารถรับชม iPad หรือ Tablet ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน ทำงานด้วยแบตเตอรี่ JBL OnTour ™ iBT สามารถเล่นกับอุปกรณ์ใดๆผ่านทาง Bluetoothทั้งiPad, iPhone, iPod Touch, Smartphone, MP3, laptop หรือdesktopโดยให้เสียงที่ใสสะอาด และทรงพลัง สไตล์ JBL® ไม่ว่าที่ใดก็ตาม มันยังเชื่อมต่อโดยตรงกับเครื่องเล่นต่างๆผ่านทางสายสเตอริโอมินิแจ็ค  JBL On Tour iBT มีลำโพง Odyssey ® สี่ตัวให้เสียงแบบฟูลเลนจ์ และรองรับระบบ DSP ซึ่งให้รายละเอียดเสียงชัดเจนในรูปแบบ 360 องศา เป็นเครื่องเสียงพกพาขนาดเล็กกะทัดรัด JBLOn Tour iBT ใช้เทคโนโลยี Bluetooth แบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการส่งข้อมูลเพลงผ่านทางระบบ wireless ร่วมกับอุปกรณ์จาก Apple สนุกไปกับการเล่นเพลงไม่ว่าที่ใดที่ชีวิตนำไปกับเพื่อนคุณผ่านทาง JBL On Tour iBT
Highlights
  • ทำงานร่วมกับ  iPad 2, iPad, iPhone 4, iPod Touch และอีกหลายอุปกรณ์ผ่านทาง Bluetooth ที่รองรับระบบ A2DP  และ AVRCP
  • ประสิทธิภาพสูง,ชิ้นเดียว, ระบบเสียง 2 ช่องทาง
  • ง่ายต่อการใช้งานด้วยระบบสัมผัส
  • ใช้เทคโนโลยี Bluetooth แบบใหม่ล่าสุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการส่งข้อมูลเพลงผ่านทางระบบ wireless ร่วมกับอุปกรณ์จาก Apple
  • รวมขาตั้งแบบปรับได้ถึง 6 มุมมองที่ต่างกัน สำหรับรับชม iPad หรือ Tablet ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน
  • ภาคขยายแบบดิจิตอลควบคู่ไปกับระบบ DSP
  • ใช้แบตเตอรี่ขนาดAA 4ก้อน สำหรับการเล่นเพลงแบบต่อเนื่องนาน 5 ชม.
  • มีไมค์ในตัวให้คุณแชท หรือสนทนา ผ่านทาง Speakerphone รวมถึงระบบป้องกันเสียงสะท้อน เพื่อให้คุณสามารถสนทนาได้อย่างชัดเจน
  • ทำงานได้ทั้งแบตเตอรี่ หรือไฟบ้าน รวมถึงระบบจ่ายไฟแบบ Multi Voltage
  • มีช่องต่อ USB สำหรับชารจ์ไฟให้กับ iPad, iPhone และ iPod touch เมื่อทำงานจากระบบไฟบ้าน

ลำโพง Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth

ลำโพง Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth
ลำโพง Might Dwarf : Blue II Bluetooth
นวัติกรรมใหม่ของโลกกับ Mighty Dwarf : Blue II Bluetooth ลำโพง Bluetooth ที่จะเป็นทุกอย่างที่มันสัมผัสให้กลายเป็นลำโพงเสียงทรงพลัง  ไม่ว่าจะวางบนโต๊ะ แปะไว้บนกระจก วางบนกล่อง ทุกที่ก็จะกลาย เป็นลำโพงส่งเสียงเพลงออกมาทันที และยังสามารถใช้ร่วมกับมือถือเพื่อรับโทรศัพท์ได้อีกด้วย ที่ตัวลำโพงสามารถควบคุมเสียง ทั้งเพิ่มและลดเสียง รวมทั้งสามารถกดหยุดหรือข้ามและถอยหลังไปฟังเพลงถัดไปได้อีกด้วย สามารถใช้ได้กับ เครื่องเล่นทุกชนิดที่มีระบบ Bluetooth รองรับ หรือสามารถต่อผ่านเครื่องเล่น iPod, MP3, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน้ตบุ้ค, และอุปกรณ์ Multimedia ทุกประเภทด้วย Stereo Mini Jack ขนาด 3.5 mm

Specifications :
• สามารถใช้ได้กับ เครื่องเล่นทุกชนิดที่มีระบบรองรับ รวมถึงเครื่องเล่น Ipod, MP3, คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ, โน้ตบุ้ค, และอุปกรณ์Multimedia ทุกประเภทด้วยการต่อผ่าน Stereo Mini Jack ขนาด 3.5 mm
• Bluetooth ระยะ 10m
• Speaker
• กำลังขับ 10 Watt
• การตอบสนองความถี่อยู่ที่40 Hz – 20 kHz
• ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 76 มิลลิเมตร ความสูง 68 มิลลิเมตร
• น้ำหนัก 290 กรัม
• ใช้กระแสไฟ 110V – 240V AC
• มีแบตเตอร์รี่ Lithium-ionสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงและใช้เวลาการประจุไฟฟ้าภายใน 4 ชั่วโมง ผ่านทาง UBS

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น



วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

 เทคโนโลยีบันทึกข้อมูล

1.                  การ์ดเมมโมรี ( Memory Card )

เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้นเพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ ( Personal Data Assistant PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
memory card (เมมโมรี่การ์ด) เป็นสื่อจัดเก็บข้อมูลประเภทหน่วยความจำสำรองแบบ flash memory ประเภทหนึ่งคะ  ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปได้โดยที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ข้อมูลไม่มีการสูญหายเมื่อปิดสวิตซ์  มีความเร็วสูงในการขนถ่ายเคลื่อนย้ายข้อมูล  ส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูลของเมมโมรี่การ์ดจะเป็นชิป ซึ่งเรียกว่า solid state chips ซึ่งใช้กระบวนการทางไฟฟ้าในการบันทึกข้อมูล  และมีตัวควบคุมการอ่านและ ปัจจุบันมีเมมโมรี่การ์ดมากมายหลากหลายแบรนด์เนมและขนาดความจุ เช่น MultiMedia Cards (MMC) , Secure digital card (SD), MicroSD card, CompactFlash card (CF), Memory stick (MS), XD Picture Card


2.                  Floppy Disk

         แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ เป็น    อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ (floppy disk drive)
         ฟลอปปี้ดิสก์เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ถือได้ว่าอยู่ยั่งยืนมานานแสนนานและยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในอดีตฟลอปปี้ดิสก์จะมีขนาด 5.25 นิ้ว ซึ่งเป็นแผ่นใหญ่บรรจุข้อมูลได้ 1.2 เมกะไบต์จะบรรจุได้น้อยกว่าฟลอปปี้ดิสก์รุ่นใหม่ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งจะบรรจุข้อมูลได้มากกว่า 1.44 เมกะไบต์ในขนาดของแผ่นที่เล็กกว่า 
ระบบการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์
กลไกการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์จะค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์ โดยตัวจานหมุนจะเป็นวัสดุที่อ่อนนิ่ม เช่น ไมลาร์ ( Mylar ) ที่เป็นพลาสติกสังเคราะห์เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ในดิสก์ 1 แผ่นจะมีจานเดียว หัวอ่านจะเลื่อนเข้าไปอ่านข้อมูลและจะสัมผัสกับแผ่นดิสก์โดยตรง ทำให้แผ่นมีการสึกหรอได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะมีการส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงค่าสนามแม่เหล็กที่หัวอ่าน เมื่อตัวไดรว์ของดิสก์อ่านข้อมูลได้แล้วจะทำการส่งต่อให้กับคอนโทรลเลอร์ควบคุมแบบอนุกรมทีละบิตต่อเนื่องกัน ขณะที่ฟลอปปี้ไดรว์ทำงาน อุปกรณ์อื่น ๆ ต้องหยุดรอ ทำให้การทำงานของระบบเกือบจะหยุดชะงักไป ที่มุมด้านหนึ่งของฟลอปปี้ดิสก์จะมีกลไกป้องกันการเขียนทับข้อมูล (write-protect) หากเป็นแผ่น 5.25 นิ้ว จะเป็นรอยบากซึ่งหากปิดรอยนี้จะไม่สามารถเขียนข้อมูลได้ ต่างกับ ดิสก์ 3.5 นิ้ว ที่จะเป็นสลักพลาสติกเลื่อนไปมา หากเลื่อนเปิดเป็นช่องจะบันทึกไม่ได้
      
3.                  Harddisk


ฮาร์ดดิสก์ หรือ จานบันทึกแบบแข็ง ( hard disk ) คืออุปกรณ์บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน     มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กซึ่งหมุนอย่างรวดเร็วเมื่อทำงาน การติดตั้งเข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้ผ่านการต่อเข้ากับมาเธอร์บอร์ด ( motherboard ) ที่มีอินเตอร์เฟซแบบขนาน ( PATA ) แบบอนุกรม ( SATA ) และแบบเล็ก ( SCSI ) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ผ่านทางสายยูเอสบีสายไฟร์ไวร์ของบริษัท Apple ที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า รวมไปถึงอินเตอร์เฟซอนุกรมแบบต่อนอก ( eSATA ) ซึ่งทำให้การใช้ฮาร์ดดิสก์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 ถึง 250 กิกะไบต์ ยิ่งมีความจุมาก ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.1      ประวัติของฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2499 (1956) โดยนักประดิษฐ์ยุคบุกเบิกแห่งบริษัทไอบีเอ็ม เรย์โนล์ด จอห์นสัน ซึ่งในขณะนั้น ฮาร์ดดิสก์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 นิ้ว มีความจุเพียงระดับเมกะไบต์เท่านั้น  (เทียบกับระดับกิกะไบต์ในปัจจุบัน ซึ่ง 1,000MB = 1GB ) ตอนแรกใช้ชื่อว่า ฟิกส์ดิสก์ ( fixed disk หรือจานบันทึกที่ติดอยู่กับที่ ) หรือ วินเชสเตอร์       ( Winchesters ) ซึ่งเป็นชื่อที่ IBM เรียกผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ต่อมาภายหลังจึงเรียกว่า ฮาร์ดดิสก์      ( จานบันทึกแบบแข็ง ) เพื่อจำแนกประเภทออกจาก ฟลอปปี้ดิสก์ ( จานบันทึกแบบอ่อน )
3.2    การควบคุมฮาร์ดดิสก์
Hard Disk จะสามารถทำงานได้ต้องมีการควบคุมจาก CPU โดยจะมีการส่งสัญญาณการใช้งานไปยัง Controller Card ซึ่ง Controller Card แบ่งออกได้ประมาณ 5 ชนิด ซึ่งจะกล่าวถึงเพียง 3 ชนิดที่ยังคงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน
3.2.1    IDE (Integrated Drive Electronics)
ระบบนี้มีความจุใกล้เคียงกับแบบ SCSI แต่มีราคาและความเร็วในการขนย้ายข้อมูลต่ำกว่า ตัวควบคุม IDE ปัจจุบันนิยมรวมอยู่ใน
แผงตัวควบคุม
3.2.2    SCSI (Small Computer System Interface)
เป็น Controller Card ที่มี Processor อยู่ในตัวเองทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายกับแผงวงจรใหม่ ใช้ควบคุมอุปกรณ์เสริมอื่นที่เป็นระบบ SCSI ได้ เช่น Modem CD-ROM Scanner และ Printerใน Card หนึ่งๆจะสนับสนุนการต่ออุปกรณ์ได้ถึง 8 ตัว
3.2.3    Serial ATA (Advanced Technology Attachment)
เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2545 งาน PC Expo ใน New York ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่มีการนำเสนอ Parallel ATA มากว่า 20 ปี รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆที่ทำให้การอ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น วันนี้บริษัท Intel Seagate และบริษัทอื่นๆ คอยช่วยกันพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยี Serial ATA ขึ้นมาแทนที่
Serial ATA มีความเร็วในเข้าถึงข้อมูลถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที และให้ผลตอบสนองในการทำงานได้เร็วมากในส่วนของ extreme application เช่น Game Home Video และ Home Network Hub มีจำนวน pin น้อยกว่า Parallel ATA
Serial ATA II ของทาง Seagate คาดว่าจะออกวางตลาดภายในปี 2546 และจะทำงานได้กับSerial ATA 1.0 ทั้งทางด้าน products และ maintain software







4.                  CD-ROM Drive

 แผ่นซีดีรอมเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลแบบออปติคอล (Optical Storage) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล แผ่นซีดีรอม ทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วยอลูมิเนียม เพื่อสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไป ที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector ก็อ่านข้อมูลที่ได้รับกลับมาว่าเป็นอะไร และส่งค่า 0 และ 1 ไปให้กลับซีพียู เพื่อนำไปประมวลผลต่อไป
ความเร็วของไดรว์ซีดีรอม มีหลายความเร็ว เช่น 2x 4x หรือ 16x เป็นต้น ซึ่งค่า 2x หมายถึงไดรว์ซีดีรอมมี ความเร็วในการหมุน 2 เท่า ไดรว์ตัวแรกที่เกิดขึ้นมามีความเร็ว 1x จะมีอัตราในการโอนถ่ายข้อมูล (Data Tranfer Rate) 150 KB ต่อวินาที ส่วนไดรว์ที่มีความเร็วสูงกว่านี้ ก็จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล ตามตาราง
4.1        การทำงานของ CD-ROM
ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรว์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกหรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก “แลนด์” สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก “พิต” ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 1 และ 0 แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด 1 และ 0 ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น  
4.2    ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล (Access Time)
         ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลคือ ช่วงระยะเวลาที่ไดรว์ซีดีรอมสามารถอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม แล้วส่งไป ประมวลผล หน่วยที่ใช้วัดความเร็วนี้คือ มิลลิวินาที (milliSecond) หรือ msปกติแล้วความเร็วมาตรฐานที่ เป็นของไดรว์ซีดีรอม 4x ก็คือ 200 ms แต่ตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขเฉลี่ยเท่านั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าไดรว์ ซีดีรอมจะมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลบนแผ่นซีดีรอมเท่ากันทั้งหมด เพราะว่าความเร็วที่แท้จริงนั้นจะขึ้นอยู่ กับว่าข้อมูลที่กำลังอ่าน อยู่ในตำแหน่งไหนบนแผ่นซีดี ถ้าข้อมูลอยู่ในตำแหน่งด้านใน หรือวงในของแผ่นซีดี ก็จะมีความเร็วในการเข้าถึงสูง แต่ถ้าข้อมูลอยู่ด้านนอกหรือวงนอกของแผ่น ก็จะทำให้ความเร็วลดลงไป
4.3    แคชและบัฟเฟอร์
          ไดรว์ซีดีรอมรุ่นใหม่ๆ มักจะมีหน่วยความจำที่เรียกว่าแคชหรือบัฟเฟอร์ติดตั้งมาบนบอร์ดของซีดีรอมไดรว์ มาด้วย แคชหรือบัฟเฟอร์ที่ว่านี้ก็คือชิปหน่วยความจำธรรมดาที่ติดตั้งไว้เพื่อเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนที่จะส่ง ข้อมูลไปประมวลผลต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านข้อมูลจากไดรว์ซีดีรอม ซึ่งแคชนี้มีหน้าที่เหมือน กับแคชในฮาร์ดดิสก์ที่จะช่วยประหยัดเวลา ในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี เพราะถ้าข้อมูลที่ร้องขอมามีอยู่ ในแคชแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านข้อมูลจากแผ่นอีก ขนาดของแคชในไดรว์ซีดีรอมทั่วๆ ไปก็คือ 256 กิโลไบต์ ซึ่งถ้ายิ่งมีแคชที่มีขนาดใหญ่ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูล ให้สูงขึ้นไปอีก
          ข้อดีของการติดตั้งแคชลงไปในไดรว์ซีดีรอมก็คือ แคชจะช่วยให้สามารถรับ-ส่งข้อมูล ได้ด้วยความเร็ว สม่ำเสมอ เมื่อแอพพลิเคชั่นร้องขอข้อมูล มายังไดรว์ซีดีรอม แทนที่จะต้องไปอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี ซึ่งมี ความเร็วต่ำ ก็สามารถอ่านข้อมูล ที่ต้องการจากแคช ที่มีความเร็วมากกว่าแทนได้ ยิ่งมีแคชจำนวนมากแล้วก็ สามารถที่จะเก็บข้อมูลมาไว้ในแคชได้เยอะขึ้น ทำให้เสียเวลาอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีน้อยลง
4.4    อินเตอร์เฟซของไดรว์ซีดีรอม
         อินเตอร์เฟซของไดรว์ซีดีรอมมีอยู่ 2 ชนิดคือ IDE ซึ่งมีราคาถูก มีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลอยู่ในขั้น ที่ยอมรับได้ และชนิด SCSI มีราคาแพงกว่าแบบ IDE แต่ก็จะมีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลสูงขึ้นด้วย เหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นซีดีเซิร์ฟเวอร์ เพราะต้องการความเร็ว และความแน่นอนในการส่งถ่ายข้อมูลมากกว่าไดรว์ซีดีรอมจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบติดตั้งภายใน และแบบติดตั้งภายนอก แบบติดตั้งภายในมีข้อดีคือ ประหยัดพื้นที่ในการวางซีดีรอมไดรว์และไม่ต้องใช้อินเตอร์เฟตเพื่อจ่ายไฟให้กับไดรว์ซีดีรอม และที่สำคัญมีราคาถูกกว่าแบบติดตั้งภายนอก แบบติดตั้งภายนอกมีข้อดีคือ สามารถพกพาไปใช้กับ เครื่องอื่นได้สะดวก

5.                  DVD-ROM Drive

         ดีวีดี (DVD; Digital Versatile Disc) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc)ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี ( DVD Writer ) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี
         5.1    คุณสมบัติของดีวีดี
                      5.1.1 สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 133 นาที
                      5.1.2 การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 4 : 0 : 1
                      5.1.3 สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยในแต่ละภาษาอาจจะเป็นระบบเสียงสเตอริโอ 2.0 ช่อง (รูปแบบ PCM) หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง (เช่น 4.0, 5.1, 6.1 ช่อง) ในรูปแบบ Dolby Digital (AC-3) หรือ Digital Theater System (DTS)
                      5.1.4 มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา
                      5.1.5 ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย (Multiangle)
                      5.1.6 สามารถทำภาพนิ่งได้สมบูรณ์เหมือนภาพสไลด์
                      5.1.7 ควบคุมระดับสิทธิการเล่น (Parental Lock)
                      5.1.8 มีรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes)
         5.2    ชนิดของแผ่นดีวีดีที่ใช้บันทึกนั้นมีอยู่ 6 ชนิด คือ
                 5.2.1 DVD-R  
                      5.2.2 DVD+R   
                      5.2.3 DVD-RW   
                      5.2.4 DVD+RW  
                      5.2.5 DVD-R DL   
                      ถ.26 DVD+R DL
5.3    ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW
 ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW คือ สามารถนำกลับมาบันทึกใหม่ ได้กว่า 100,000 ครั้ง แต่ดีวีดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้คือ DVD-R ในการบันทึก DVD แต่ละชนิดนั้นไม่สามารถใช้งานข้ามชนิดได้ คือ ไม่สามารถใช้งานข้ามไดร์ฟได้ เช่น DVD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องบันทึก DVD+RW ได้ ต้องเขียนกับเครื่องบันทึก DVD-RW เท่านั้น ส่วนการอ่านข้อมูลใน DVD นั้น สามารถอ่านกับเครื่องไหนก็ได้ เช่น DVD+RW สามารถอ่านกับเครื่องเล่นDVD-RW ได้
         5.4    โซนของแผ่นดีวีดี
แผ่นดีวีดีที่ใช้บรรจุภาพยนตร์นั้น จะมีการบรรจุรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes) หรือ โซน (Zone) เพื่อประโยชน์ในการควบคุมลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ในแต่ละแผ่นจะบรรจุรหัสไว้อย่างน้อย 1 โซน สำหรับแผ่นที่สามารถใช้ได้กับทุกโซน (All Zone) นั้น จะบรรจุรหัสเป็น1,2,3,4,5,6 นั่นเอง แผ่นพวกนี้ในบางครั้งนิยมเรียกว่าแผ่นโซน 0 โดยปกติเครื่องเล่นดีวีดี รวมถึงดีวีดีรอม ที่ผลิตในแต่ละประเทศ จะสามารถเล่นได้เฉพาะแผ่นที่ผลิตสำหรับโซนนั้นๆ และแผ่นที่ระบุเป็น All Zone เท่านั้น โซนพื้นที่
5.4.1 สหรัฐอเมริกาแคนาดา
5.4.2 ยุโรปญี่ปุ่นแอฟริกาใต้ตะวันออกกลาง ( รวมถึง อียิปต์ )
5.4.3 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( รวมถึง ประเทศไทย )เอเชียตะวันออก ( รวมถึง ฮ่องกง แต่ไม่รวม จีน )
5.4.4 อเมริกากลางอเมริกาใต้โอเชียเนีย
5.4.5 ยุโรปตะวันออกรัสเซียเอเชียใต้แอฟริกาเกาหลีเหนือมองโกเลีย
5.4.6 จีน
5.4.7 สำรอง
5.4.8 ยานพาหนะระหว่างประเทศ เช่น เรือเครื่องบิน
         สำหรับโซน 2 (ยุโรป) อาจจะมีรหัสย่อยตั้งแต่ D1 จนถึง D4 โดย D1 คือจำหน่ายเฉพาะประเทศอังกฤษ, D2 และ D3 กำหนดว่าไม่จำหน่ายในอังกฤษและไอร์แลนด์ ส่วน D4หมายถึงจำหน่ายได้ทั่วทั้งยุโรป ในหนึ่งแผ่นดีวีดีสามารถใส่รหัสโซนรวมกันได้หลายโซน โดยอาจมีรหัสโซน 3/6 เพื่อให้สามารถใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

6.                  แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive)

                แฟลชไดรฟ์ หรือ ยูเอสบีไดรฟ์ เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลโดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ทำงานร่วมกับยูเอสบี 1.1 หรือ 2.0 มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบาเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของไดร์ฟมีตั้งแต่ 8, 16, 32, 64, 128 จนถึง 1024 เมกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2549) บางรุ่นมีความจุสูงถึง16 GB โดยทั่วไปไดรฟ์จะทำงานได้ในหลายระบบปฏิบัติการซึ่งรวมถึง วินโดวส์98/ME/2000/XP แมคอินทอช ลินุกซ์ และยูนิกซ์ แฟลชไดรฟ์ รู้จักกันในชื่อต่างๆ รวมถึงทัมบ์ไดรฟ์”    “คีย์ไดรฟ์”   “จัมป์ไดรฟ์” และชื่อเรียกอื่น โดยขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
6.1    ชื่อเรียกอื่น
ชื่อเรียกของแฟลชไดรฟ์ (รวมถึงคำว่าแฟลชไดรฟ์) ไม่มีชื่อพื้นฐานที่กำหนด โดยผู้ผลิตได้ตั้งชื่อเป็นโมเดลของตัวเอง ซึ่งได้แก่
6.1.1 คีย์ไดรฟ์ (key drive)
6.1.2 จัมป์ไดรฟ์ (jump drive) เครื่องหมายการค้าของเล็กซาร์
6.1.3 ดาต้าคีย์ (data key)
6.1.4 ดาต้าสติ๊ก (data stick)
6.1.5 ทราเวลไดรฟ์ (travel drive) เครื่องหมายการค้าของ เมโมเร็กซ์
6.1.6 ทัมบ์ไดรฟ์ (thumb drive)
6.1.7 ทัมบ์คีย์ (thumb key)
6.1.8 เพนไดรฟ์ (pen drive)
6.1.9 ฟิงเกอร์ไดรฟ์ (finger drive)
6.1.10 แฟลชไดรฟ์ (flash drive)
6.1.11 แฟลชดิสก์ (flash disk)
6.1.12 เมโมรีไดรฟ์ (memory drive)
6.1.13 ยูเอสบีไดรฟ์ (usb drive)
6.1.14 ยูเอสบีคีย์ (usb key)

7.    เทคโนโลยี Blu-Ray
บลูเรย์ดิสค์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) คือรูปแบบของแผ่นออพติคอลสำหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของบลูเรย์มาจาก ช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ ที่ 405 nmของเลเซอร์สี "ฟ้า" ซึ่งทำให้สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่าดีวีดี ที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm
7.1    ประวัติบลูเรย์
มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนำโดยโซนี และ ฟิลิปส์ เปรียบเทียบกับ เอ็ชดีดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB
ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layerแบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที         6.2    Blu-ray Player
แผ่นดีวีดีโดยทั่วๆ ไปมีความจุ 4.7 กิกะไบต์ โดยเป็นขนาดความจุที่สามารถเก็บ ภาพยนตร์ขนาดความยาว 135 นาทีได้ในรูปแบบภาพวิดีโอมาตรฐานที่ถูกบีบอัดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจุขนาดนี้แม้จะมากก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเก็บภาพยนตร์ในรูปแบบวิดีโอแบบความคมชัดสูงได้ โดยถ้าต้องการเก็บภาพยนตร์ความยาวเท่ากันในรูปแบบวิดีโอความคมชัดสูงแบบบีบอัดจะต้องการพื้นที่เพิ่มมากถึงห้าเท่า ทำให้ Blu-ray และ HD-DVD ถือกำเนิดขึ้นมาโดยใช้แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์แบบใหม่ซึ่งเป็นแสงสีน้ำเงิน (  คือแสงสีน้ำเงิน-ม่วง ) แสงสีน้ำเงินนี้จะมีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดงของแผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงแผ่นดิสก์ได้มาก กว่าบนเนื้อที่เท่าเดิม โดย Blu-ray สามารถเก็บวิดีโอความคมชัดสูงได้นานถึง 9 ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ในดีวีดีทั่วๆ ไปได้นานต่อเนื่องถึง 23 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องของชั้นเคลือบดิสก์ โดยดิสก์แบบ Blu-ray มีชั้นเคลือบที่มีความหนาเพียงหนึ่งในหกของ ความหนาของดีวีดีทั่วๆ ไปหรือ HD-DVD นั่นทำให้ชั้นข้อมูลของดิสก์แบบ Blu-ray ใกล้ชิดกับผิวหน้าของดิสก์มากขึ้นและทำให้แสงเลเซอร์จากเครื่องเล่นแบบ Blu-ray อ่านข้อมูล ที่ถูกเก็บไว้เป็นชั้น (layer) ชั้นเดียวได้จำนวน มากขึ้น โดยโซนี่เองวางแผนที่จะเพิ่มชั้นของข้อมูลจาก 2 เป็น 4 ชั้นภายในปี 2007 และจะเพิ่มเป็น 8 ชั้นในที่สุด นั่นทำให้ดิสก์แบบ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นในแต่ละ ชั้นและเก็บได้หลายชั้นมากกว่า HD-DVD
Blu-ray มีโซนี่เป็นแกนนำภายใต้การสนับสนุนจากบริษัทอีกหลายบริษัท เช่น มัตซึ ชิตะ (พานาโซนิค)ธอมสันแอลจีฟิลิปส์ไพโอเนียร์ชาร์ป และซัมซุง รวมถึงวงการคอมพิวเตอร์อย่างเดลล์และเอชพี ในขณะที่ HD-DVD ถูกพัฒนาโดยโตชิบาและเอ็นอีซีเท่านั้น นั่นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการนั่งดูหนังที่บ้านมากขึ้น โดยเป็นภาพยนตร์ความคมชัดสูงในระดับเดียวกับที่สามารถนั่งดูได้ที่มัลติเพล็กซ์
7.2    เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่นแรก
6.3.1 โซนี่ เพลย์สเตชัน 3           
6.3.2 โซนี่ รุ่น BDP-S1
6.3.3 ซัมซุง รุ่น BD-P1000
6.3.4 พานาโซนิค รุ่น DMP-BD10
6.3.5 ไพโอเนียร์ รุ่น BDP-HD1
6.3.6 ฟิลิปส์ รุ่น BDP9000
6.3.7 ชาร์ป รุ่น DV-BP1
6.3.8 แอลจี รุ่น BD100
6.3.9 ไลท์-ออน รุ่น BDP-X1
7.3    Blu-ray Disc และ HD DVD Disc
อย่างไรก็ตาม ความคิดของสตูดิโอภาพยนตร์และผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มองว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้สามารถเพิ่มตลาดบันเทิงภายในบ้านให้กว้างขวางมากขึ้นนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะการ ที่ผู้บริโภคต้องมาเดิมพันเลือกข้างของเทคโนโลยีเหมือนสมัยสงครามระหว่าง VHS กับ Betamax เพราะอย่างน้อยภายในปีหน้าก็จะมีเครื่องเล่นที่สามารถสนับสนุนมาตรฐานทั้งสองได้ แต่จะเป็นเพราะอาจจะถึงคราวสิ้น สุดยุคของดิสก์แล้วก็ได้ โดยมี 4 เหตุผลสำคัญที่มาสนับสนุน ได้แก่
7.3.1    อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟท์กำลังเปิดบริการให้เช่าภาพยนตร์และบริการดาวน์โหลดผ่านเครื่องเล่น Xbox Live ของตัวเอง โดยเป็นบริการแรกที่รวมเอาการดาวน์โหลดภาพยนตร์ที่มีความคมชัดสูงด้วย ซึ่งถือเป็น การตัดหน้าเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ซึ่งจะรวมเอาเทคโนโลยี Blu-ray เอาไว้ด้วย โดยเครื่อง Xbox 360 สามารถเล่นได้เพียงแค่ดีวีดีทั่วๆ ไปเท่านั้น บริการให้เช่าวิดีโอผ่านการดาวน์โหลดถือเป็นการข้ามความจำเป็นที่ต้องใช้มีเดียหรือดิสก์ไป รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาที่ iTunes ต้องเผชิญในการขายภาพยนตร์โดยเฉพาะภาพยนตร์ความละเอียดสูง โดยเมื่อเราดาวน์โหลดภาพยนตร์เข้ามาไว้ในเครื่อง Xbox แล้วซึ่งปกติเครื่อง Xbox ต้องต่อกับโทรทัศน์อยู่แล้วก็ทำให้สามารถดูผ่านโทรทัศน์ได้เลย แต่ข้อเสียก็คือ ต้องมีเครื่อง Xbox ด้วย
7.3.2    Cable on-demand เครื่องมืออย่าง Comcast Box เป็น การนำภาพยนตร์ความคมชัดสูงมาเจอกับจอแบบ HDTV นอกจากนี้การ ดูแบบออนดีมานด์สามารถเปิดดูได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งรอดาวน์โหลดให้เสร็จอีก แต่สตูดิโอโดยส่วนใหญ่ก็พยายามไม่เอาภาพยนตร์ที่เพิ่งลง โรงมาให้ดูผ่านบริการแบบออนดีมานด์ แต่ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังจะ เปลี่ยนแปลงไป และมีการลองนำภาพยนตร์ที่เพิ่งลงโรงมาฉายบ้างแล้ว ที่สำคัญเทคโนโลยีป้องกันการทำซ้ำของบริษัทเคเบิลทั้งหลายน่าจะทำให้ ผู้ผลิตภาพยนตร์เบาใจลงบ้าง เช่นเดียวกับบริการให้เช่าภาพยนตร์ของ Xbox ที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะหมดอายุภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจาก การดาวน์โหลด
7.3.3    การปรากฏของรูปแบบของดิสก์แบบใหม่หมายถึงเงินลงทุน เรื่องฮาร์ดแวร์ที่ต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหลังจากลงทุนซื้อ HDTV (ราคาประมาณ 3,000 เหรียญ) รวมถึงเครื่องเสียงอีกจำนวนหนึ่ง คงไม่มีใครอยากจะลงทุนอีกมากมายนักแน่นอน และเครื่องเล่นวิดีโอความ คมชัดสูงก็ไม่ใช่ถูกๆ (เครื่องเล่น HD-DVD ราคาประมาณ 350-600 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เครื่องเล่น Blu-ray ราคาอยู่ระหว่าง 750-1,000 เหรียญสหรัฐ) การตัดสินใจที่จะให้เครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ เองสนับสนุนเทคโนโลยี Blu-ray ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญและยอดเยี่ยม ในการเพิ่มอุปสงค์ต่อภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยี Blu-ray อย่างไรก็ตามถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของโซนี่ด้วยเพราะถ้ามาตรฐานนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดก็จะทำให้เครื่องเพลย์สเตชั่นของโซนี่กลายเป็นเครื่องพิกลพิการไปด้วย
7.3.4    การกลับมาอีกครั้งของฮาร์ดดิสก์ไดรว์ การดาวน์โหลดภาพยนตร์ต่างจากดีวีดีตรงที่เพียงต้องการพื้นที่ที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์เท่านั้น โดยสามารถเก็บได้นานเท่าที่ต้องการ โดยอาจจะเก็บไว้ดูเพียงครั้งสองครั้ง หรือเก็บไว้ตลอดกาลก็ได้เช่นกัน เมื่อเทียบกับการโหลดเพลงผ่าน iTunes ซึ่งมีราคาถูกกว่าการซื้ออัลบั้มจริงๆ 8-10 เหรียญสหรัฐ ตามร้านขายปลีกทั่วไป และเมื่อพิจารณาว่าราคาฮาร์ดดิสก์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในขณะที่ขนาดความจุกลับเพิ่มขึ้นอย่าง ก้าวกระโดดเช่นกัน ก็ยิ่งเห็นประโยชน์ของฮาร์ดดิสก์
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการดาวน์โหลดภาพยนตร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็คือ การนำไปใช้งานที่ยังยากอยู่เมื่อเทียบกับดูผ่าน แผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปเพราะจำเป็นต้องมีทักษะในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การที่ต้องนั่งรอดาวน์โหลดให้เสร็จถึงจะดูได้ก็เป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน
ดิสก์จะถึงกาลอวสานตามการคาดการณ์หรือไม่ก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรมอันเป็นนิรันดรที่ใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาสู่โลกของเทคโนโลยีหรือโลกใดๆ ก็ตามแต่ไม่สามารถข้ามพ้นมันไปได้



8.    เทคโนโลยี HD-DVD
HD DVD ( High Definition DVD หรือ High Density DVD ) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง ( optical disc ) ที่ใช้บันทึกวิดีโอความละเอียดสูง ( high definition ) หรือข้อมูลชนิดอื่นๆ ก็ได้ HD DVD มีลักษณะใกล้เคียงกับ Blu-ray ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลคู่แข่ง โดยใช้ขนาดแผ่นเท่ากับซีดีรอม ( เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม. )
8.1    ประวัติของ HD DVD
HD DVD ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายบริษัท เช่น โตชิบา, NEC, ซันโยไมโครซอฟท์ และอินเทล รวมถึงบริษัทภาพยนตร์อย่าง Universal Studios โตชิบายังได้ออกวางขายเครื่องเล่นแผ่น HD DVD เครื่องแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2006
8.2    ความจุของ HD DVD
HD DVD แบบเลเยอร์เดียวจุข้อมูลได้ 15GB และ 30GB สำหรับแบบสองเลเยอร์ โตชิบาได้ประกาศว่าจะผลิตแผ่นแบบ 3 เลเยอร์ที่จุได้ 45GB ในตัวแผ่น HD DVD สามารถใส่ข้อมูลชนิดดีวีดีแบบเดิม และ HD DVD ได้พร้อมกัน การอ่านข้อมูลใช้เลเซอร์ความยาวคลื่นแสงสีฟ้า (405นาโนเมตร )
ชั้นข้อมูลจะถูกบันทึกถัดไปจากพื้นผิว 0.6 มิลลิเมตรเช่นเดียวกับดีวีดีทั่วไป เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลวิดีโอคือ MPEG-2, Video Codec 1 และ H.264/MPEG-4 AVC สนับสนุนระบบเสียงแบบ7.1 ในส่วนความละเอียดของภาพนั้นขึ้นกับจอภาพที่ใช้ด้วย แต่สามารถขึ้นได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
8.3    HD DVD Player
เมื่อเรามองย้อนไปในอดีตจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอันมีผลต่อการเสพสิ่งบันเทิงล้วนสร้างความแตกต่างให้กับผู้เสพในเรื่องประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ การถือกำเนิดของโทรทัศน์ที่กลายเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านไปแล้วและเป็นอุปกรณ์ที่เกือบมาทำให้ธุรกิจภาพยนตร์ต้องถึงกาลอวสานโดยทำให้จำนวนผู้ออกไปชมภาพยนตร์ นอกบ้านในปี 1948 ที่มีจำนวน 90 ล้านคนต่อสัปดาห์เหลือเพียง 20 ล้านคนต่อสัปดาห์ในปี 1966 และเมื่อคนอเมริกันมีโทรทัศน์สีใช้แล้วก็ทำให้คนดูอีกกว่า 70 ล้านคนต่อสัปดาห์ เลิกไปโรงภาพยนตร์ และทำให้ฮอลลีวูดต้องหันมาลงทุนโฆษณาจำนวนมหาศาล เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ผ่านโทรทัศน์เพื่อดึงคนกลับไปดูภาพยนตร์อีกครั้ง เมื่อมีวิดีโอและดีวีดี รวมถึงการสามารถทำสำเนาวิดีโอและดีวีดีเถื่อนได้ก็ส่งผลให้โรงภาพยนตร์แทบจะหายไปจากทวีปเอเชียและยุโรปตะวันออกเลย นี่หมายความว่า Blu-ray รวมถึง HD-DVD กำลังจะมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งต่อวงการฮอลลีวูด จริงๆ แล้วดีวีดีแบบ Blu-ray น่าจะเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโซนี่ โดยการที่ดีวีดีแบบนี้จะมีชั้นของการเก็บข้อมูล หลายชั้น ซึ่งนอกจากสามารถเก็บข้อมูลดิจิตอลจำนวนมากๆ ได้แล้วยังสามารถใช้ใน การบันทึกข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วย โดยเป็นโปรโมชั่นของเว็บไซต์ของ โซนี่เองที่สามารถเพิ่มเกมมิวสิควิดีโอ รวมถึง อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ที่สามารถนำมาเพิ่มให้เต็มครบชุดได้

9.    Floptical Disk
เป็นการนำเทคโนโลยีด้านแสงเข้ามาช่วยในการบันทึกข้อมูล แต่ไม่ได้ใช้แสงโดยตรง ลักษณะ Floptical disk จะมีรูปร่างเหมือนฟล็อปปี้ดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วทุกประการ แต่มีความจุมากขึ้นเป็น 120 เมกะไบต์ทีเดียว และตัวไดรว์ยังใช้อ่านเขียนข้อมูลแผ่นดิสก์ธรรมดาได้ด้วย ชื่อทางการค้าของ
Floptical Drive
ที่เป็นที่รู้จักกันได้แก่ SuperDisk จากบริษัท Imation
9.1    หลักการของ Floptical Drive
หลักการของ Floptical Drive อาศัยการบันทึกข้อมูลด้วยสนามแม่เหล็กเหมือนฟล็อปปี้ดิสก์ธรรมดา แต่ใช้กลไกการอ่านที่เรียกว่า optical servo (หรือบางทีเรียกว่า Laser servo)หรือวงจรเลื่อนตำแหน่งหัวอ่านควบคุมด้วยแสง ทำให้สามารถเลื่อนหัวอ่าน/เขียนได้ตรงกับแทรคที่มีความหนาแน่นกว่าดิสเก็ตธรรมดามาก เช่น ในดิสก์ธรรมดามี 80 แทรค 2480 sector แต่ในFloptical disk จะมี ถึง 1,736 แทรค 245,760 sector ทำให้ได้ความจุรวมถึง 120 เมกะไบต์ต่อแผ่น Floptical disk หมุนด้วยความเร็ว 720 รอบต่อนาที และมีอัตรารับส่งข้อมูล ประมาณ3.2-5.4 เมกะบิตต่อวินาที

10.    ZIP drive ของ Iomega  Jazz drive
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีคล้ายกัน แต่รูปแบบต่างกันไป เช่น Zip Drive จากIomega ที่ออกมาก่อน Superdisk แต่ได้รับความนิยมมากพอสมควร Zip Drive มีทั้งรุ่นที่ต่อกับParallel port,USB port และแบบ SCSI และได้เพิ่มความจุจาก 100 เป็น 250 เมกะไบต์Iomega ยังได้ผลิต Jaz Drive ที่มีลักษณะเหมือนฮาร์ดดิสก์ถอดได้ โดยจะมีตัวไดรว์เป็นระบบSCSI เท่านั้น และมีแผ่นบรรจุข้อมูลขนาด 1 GB และ 2 GB นิยมใช้สำหรับการสำรองข้อมูลย้ายไปมา เนื่องจากมีความเร็วน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ และยังมีราคาแพงกว่า Zip หรือ Superdisk มาก