วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

 เทคโนโลยีบันทึกข้อมูล

1.                  การ์ดเมมโมรี ( Memory Card )

เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่มีขนาดเล็ก พัฒนาขึ้นเพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์เทคโนโลยีแบบต่างๆ เช่น กล้องดิจิทัล คอมพิวเตอร์มือถือ ( Personal Data Assistant PDA) โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
memory card (เมมโมรี่การ์ด) เป็นสื่อจัดเก็บข้อมูลประเภทหน่วยความจำสำรองแบบ flash memory ประเภทหนึ่งคะ  ซึ่งผู้ใช้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปได้โดยที่ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ข้อมูลไม่มีการสูญหายเมื่อปิดสวิตซ์  มีความเร็วสูงในการขนถ่ายเคลื่อนย้ายข้อมูล  ส่วนที่ใช้บันทึกข้อมูลของเมมโมรี่การ์ดจะเป็นชิป ซึ่งเรียกว่า solid state chips ซึ่งใช้กระบวนการทางไฟฟ้าในการบันทึกข้อมูล  และมีตัวควบคุมการอ่านและ ปัจจุบันมีเมมโมรี่การ์ดมากมายหลากหลายแบรนด์เนมและขนาดความจุ เช่น MultiMedia Cards (MMC) , Secure digital card (SD), MicroSD card, CompactFlash card (CF), Memory stick (MS), XD Picture Card


2.                  Floppy Disk

         แผ่นดิสก์แบบอ่อน หรือ ฟลอปปีดิสก์ หรือที่นิยมเรียกว่า แผ่นดิสก์ หรือ ดิสเกตต์ เป็น    อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่อาศัยหลักการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็ก โดยทั่วไปมีลักษณะบางกลมและบรรจุอยู่ในแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยม คอมพิวเตอร์สามารถอ่านและเขียนข้อมูลลงบนฟลอปปีดิสก์ ผ่านทางฟลอปปีดิสก์ไดร์ฟ (floppy disk drive)
         ฟลอปปี้ดิสก์เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ถือได้ว่าอยู่ยั่งยืนมานานแสนนานและยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ ในอดีตฟลอปปี้ดิสก์จะมีขนาด 5.25 นิ้ว ซึ่งเป็นแผ่นใหญ่บรรจุข้อมูลได้ 1.2 เมกะไบต์จะบรรจุได้น้อยกว่าฟลอปปี้ดิสก์รุ่นใหม่ขนาด 3.5 นิ้ว ซึ่งจะบรรจุข้อมูลได้มากกว่า 1.44 เมกะไบต์ในขนาดของแผ่นที่เล็กกว่า 
ระบบการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์
กลไกการทำงานของฟลอปปี้ดิสก์จะค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์ โดยตัวจานหมุนจะเป็นวัสดุที่อ่อนนิ่ม เช่น ไมลาร์ ( Mylar ) ที่เป็นพลาสติกสังเคราะห์เคลือบสารแม่เหล็กเอาไว้ ในดิสก์ 1 แผ่นจะมีจานเดียว หัวอ่านจะเลื่อนเข้าไปอ่านข้อมูลและจะสัมผัสกับแผ่นดิสก์โดยตรง ทำให้แผ่นมีการสึกหรอได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะมีการส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงค่าสนามแม่เหล็กที่หัวอ่าน เมื่อตัวไดรว์ของดิสก์อ่านข้อมูลได้แล้วจะทำการส่งต่อให้กับคอนโทรลเลอร์ควบคุมแบบอนุกรมทีละบิตต่อเนื่องกัน ขณะที่ฟลอปปี้ไดรว์ทำงาน อุปกรณ์อื่น ๆ ต้องหยุดรอ ทำให้การทำงานของระบบเกือบจะหยุดชะงักไป ที่มุมด้านหนึ่งของฟลอปปี้ดิสก์จะมีกลไกป้องกันการเขียนทับข้อมูล (write-protect) หากเป็นแผ่น 5.25 นิ้ว จะเป็นรอยบากซึ่งหากปิดรอยนี้จะไม่สามารถเขียนข้อมูลได้ ต่างกับ ดิสก์ 3.5 นิ้ว ที่จะเป็นสลักพลาสติกเลื่อนไปมา หากเลื่อนเปิดเป็นช่องจะบันทึกไม่ได้
      
3.                  Harddisk


ฮาร์ดดิสก์ หรือ จานบันทึกแบบแข็ง ( hard disk ) คืออุปกรณ์บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน     มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็กซึ่งหมุนอย่างรวดเร็วเมื่อทำงาน การติดตั้งเข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้ผ่านการต่อเข้ากับมาเธอร์บอร์ด ( motherboard ) ที่มีอินเตอร์เฟซแบบขนาน ( PATA ) แบบอนุกรม ( SATA ) และแบบเล็ก ( SCSI ) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ผ่านทางสายยูเอสบีสายไฟร์ไวร์ของบริษัท Apple ที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า รวมไปถึงอินเตอร์เฟซอนุกรมแบบต่อนอก ( eSATA ) ซึ่งทำให้การใช้ฮาร์ดดิสก์ทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันนั้นมีตั้งแต่ 20 ถึง 250 กิกะไบต์ ยิ่งมีความจุมาก ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3.1      ประวัติของฮาร์ดดิสก์
ฮาร์ดดิสก์นั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2499 (1956) โดยนักประดิษฐ์ยุคบุกเบิกแห่งบริษัทไอบีเอ็ม เรย์โนล์ด จอห์นสัน ซึ่งในขณะนั้น ฮาร์ดดิสก์มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 20 นิ้ว มีความจุเพียงระดับเมกะไบต์เท่านั้น  (เทียบกับระดับกิกะไบต์ในปัจจุบัน ซึ่ง 1,000MB = 1GB ) ตอนแรกใช้ชื่อว่า ฟิกส์ดิสก์ ( fixed disk หรือจานบันทึกที่ติดอยู่กับที่ ) หรือ วินเชสเตอร์       ( Winchesters ) ซึ่งเป็นชื่อที่ IBM เรียกผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ต่อมาภายหลังจึงเรียกว่า ฮาร์ดดิสก์      ( จานบันทึกแบบแข็ง ) เพื่อจำแนกประเภทออกจาก ฟลอปปี้ดิสก์ ( จานบันทึกแบบอ่อน )
3.2    การควบคุมฮาร์ดดิสก์
Hard Disk จะสามารถทำงานได้ต้องมีการควบคุมจาก CPU โดยจะมีการส่งสัญญาณการใช้งานไปยัง Controller Card ซึ่ง Controller Card แบ่งออกได้ประมาณ 5 ชนิด ซึ่งจะกล่าวถึงเพียง 3 ชนิดที่ยังคงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน
3.2.1    IDE (Integrated Drive Electronics)
ระบบนี้มีความจุใกล้เคียงกับแบบ SCSI แต่มีราคาและความเร็วในการขนย้ายข้อมูลต่ำกว่า ตัวควบคุม IDE ปัจจุบันนิยมรวมอยู่ใน
แผงตัวควบคุม
3.2.2    SCSI (Small Computer System Interface)
เป็น Controller Card ที่มี Processor อยู่ในตัวเองทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายกับแผงวงจรใหม่ ใช้ควบคุมอุปกรณ์เสริมอื่นที่เป็นระบบ SCSI ได้ เช่น Modem CD-ROM Scanner และ Printerใน Card หนึ่งๆจะสนับสนุนการต่ออุปกรณ์ได้ถึง 8 ตัว
3.2.3    Serial ATA (Advanced Technology Attachment)
เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2545 งาน PC Expo ใน New York ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่มีการนำเสนอ Parallel ATA มากว่า 20 ปี รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆที่ทำให้การอ่านข้อมูลได้เร็วขึ้น วันนี้บริษัท Intel Seagate และบริษัทอื่นๆ คอยช่วยกันพัฒนาให้เกิดเทคโนโลยี Serial ATA ขึ้นมาแทนที่
Serial ATA มีความเร็วในเข้าถึงข้อมูลถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที และให้ผลตอบสนองในการทำงานได้เร็วมากในส่วนของ extreme application เช่น Game Home Video และ Home Network Hub มีจำนวน pin น้อยกว่า Parallel ATA
Serial ATA II ของทาง Seagate คาดว่าจะออกวางตลาดภายในปี 2546 และจะทำงานได้กับSerial ATA 1.0 ทั้งทางด้าน products และ maintain software







4.                  CD-ROM Drive

 แผ่นซีดีรอมเป็นสื่อในการเก็บข้อมูลแบบออปติคอล (Optical Storage) ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล แผ่นซีดีรอม ทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วยอลูมิเนียม เพื่อสะท้อนแสงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไป ที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector ก็อ่านข้อมูลที่ได้รับกลับมาว่าเป็นอะไร และส่งค่า 0 และ 1 ไปให้กลับซีพียู เพื่อนำไปประมวลผลต่อไป
ความเร็วของไดรว์ซีดีรอม มีหลายความเร็ว เช่น 2x 4x หรือ 16x เป็นต้น ซึ่งค่า 2x หมายถึงไดรว์ซีดีรอมมี ความเร็วในการหมุน 2 เท่า ไดรว์ตัวแรกที่เกิดขึ้นมามีความเร็ว 1x จะมีอัตราในการโอนถ่ายข้อมูล (Data Tranfer Rate) 150 KB ต่อวินาที ส่วนไดรว์ที่มีความเร็วสูงกว่านี้ ก็จะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูล ตามตาราง
4.1        การทำงานของ CD-ROM
ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรว์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกหรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก “แลนด์” สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก “พิต” ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 1 และ 0 แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด 1 และ 0 ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น  
4.2    ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล (Access Time)
         ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลคือ ช่วงระยะเวลาที่ไดรว์ซีดีรอมสามารถอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม แล้วส่งไป ประมวลผล หน่วยที่ใช้วัดความเร็วนี้คือ มิลลิวินาที (milliSecond) หรือ msปกติแล้วความเร็วมาตรฐานที่ เป็นของไดรว์ซีดีรอม 4x ก็คือ 200 ms แต่ตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขเฉลี่ยเท่านั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนว่าไดรว์ ซีดีรอมจะมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลบนแผ่นซีดีรอมเท่ากันทั้งหมด เพราะว่าความเร็วที่แท้จริงนั้นจะขึ้นอยู่ กับว่าข้อมูลที่กำลังอ่าน อยู่ในตำแหน่งไหนบนแผ่นซีดี ถ้าข้อมูลอยู่ในตำแหน่งด้านใน หรือวงในของแผ่นซีดี ก็จะมีความเร็วในการเข้าถึงสูง แต่ถ้าข้อมูลอยู่ด้านนอกหรือวงนอกของแผ่น ก็จะทำให้ความเร็วลดลงไป
4.3    แคชและบัฟเฟอร์
          ไดรว์ซีดีรอมรุ่นใหม่ๆ มักจะมีหน่วยความจำที่เรียกว่าแคชหรือบัฟเฟอร์ติดตั้งมาบนบอร์ดของซีดีรอมไดรว์ มาด้วย แคชหรือบัฟเฟอร์ที่ว่านี้ก็คือชิปหน่วยความจำธรรมดาที่ติดตั้งไว้เพื่อเก็บข้อมูลชั่วคราวก่อนที่จะส่ง ข้อมูลไปประมวลผลต่อไป เพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านข้อมูลจากไดรว์ซีดีรอม ซึ่งแคชนี้มีหน้าที่เหมือน กับแคชในฮาร์ดดิสก์ที่จะช่วยประหยัดเวลา ในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี เพราะถ้าข้อมูลที่ร้องขอมามีอยู่ ในแคชแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปอ่านข้อมูลจากแผ่นอีก ขนาดของแคชในไดรว์ซีดีรอมทั่วๆ ไปก็คือ 256 กิโลไบต์ ซึ่งถ้ายิ่งมีแคชที่มีขนาดใหญ่ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูล ให้สูงขึ้นไปอีก
          ข้อดีของการติดตั้งแคชลงไปในไดรว์ซีดีรอมก็คือ แคชจะช่วยให้สามารถรับ-ส่งข้อมูล ได้ด้วยความเร็ว สม่ำเสมอ เมื่อแอพพลิเคชั่นร้องขอข้อมูล มายังไดรว์ซีดีรอม แทนที่จะต้องไปอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดี ซึ่งมี ความเร็วต่ำ ก็สามารถอ่านข้อมูล ที่ต้องการจากแคช ที่มีความเร็วมากกว่าแทนได้ ยิ่งมีแคชจำนวนมากแล้วก็ สามารถที่จะเก็บข้อมูลมาไว้ในแคชได้เยอะขึ้น ทำให้เสียเวลาอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีน้อยลง
4.4    อินเตอร์เฟซของไดรว์ซีดีรอม
         อินเตอร์เฟซของไดรว์ซีดีรอมมีอยู่ 2 ชนิดคือ IDE ซึ่งมีราคาถูก มีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลอยู่ในขั้น ที่ยอมรับได้ และชนิด SCSI มีราคาแพงกว่าแบบ IDE แต่ก็จะมีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลสูงขึ้นด้วย เหมาะสำหรับนำมาใช้เป็นซีดีเซิร์ฟเวอร์ เพราะต้องการความเร็ว และความแน่นอนในการส่งถ่ายข้อมูลมากกว่าไดรว์ซีดีรอมจะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบติดตั้งภายใน และแบบติดตั้งภายนอก แบบติดตั้งภายในมีข้อดีคือ ประหยัดพื้นที่ในการวางซีดีรอมไดรว์และไม่ต้องใช้อินเตอร์เฟตเพื่อจ่ายไฟให้กับไดรว์ซีดีรอม และที่สำคัญมีราคาถูกกว่าแบบติดตั้งภายนอก แบบติดตั้งภายนอกมีข้อดีคือ สามารถพกพาไปใช้กับ เครื่องอื่นได้สะดวก

5.                  DVD-ROM Drive

         ดีวีดี (DVD; Digital Versatile Disc) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc)ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน ( เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี ( DVD Writer ) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี
         5.1    คุณสมบัติของดีวีดี
                      5.1.1 สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 133 นาที
                      5.1.2 การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 4 : 0 : 1
                      5.1.3 สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยในแต่ละภาษาอาจจะเป็นระบบเสียงสเตอริโอ 2.0 ช่อง (รูปแบบ PCM) หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง (เช่น 4.0, 5.1, 6.1 ช่อง) ในรูปแบบ Dolby Digital (AC-3) หรือ Digital Theater System (DTS)
                      5.1.4 มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา
                      5.1.5 ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย (Multiangle)
                      5.1.6 สามารถทำภาพนิ่งได้สมบูรณ์เหมือนภาพสไลด์
                      5.1.7 ควบคุมระดับสิทธิการเล่น (Parental Lock)
                      5.1.8 มีรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes)
         5.2    ชนิดของแผ่นดีวีดีที่ใช้บันทึกนั้นมีอยู่ 6 ชนิด คือ
                 5.2.1 DVD-R  
                      5.2.2 DVD+R   
                      5.2.3 DVD-RW   
                      5.2.4 DVD+RW  
                      5.2.5 DVD-R DL   
                      ถ.26 DVD+R DL
5.3    ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW
 ข้อดีของ DVD-RW และ DVD+RW คือ สามารถนำกลับมาบันทึกใหม่ ได้กว่า 100,000 ครั้ง แต่ดีวีดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้คือ DVD-R ในการบันทึก DVD แต่ละชนิดนั้นไม่สามารถใช้งานข้ามชนิดได้ คือ ไม่สามารถใช้งานข้ามไดร์ฟได้ เช่น DVD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องบันทึก DVD+RW ได้ ต้องเขียนกับเครื่องบันทึก DVD-RW เท่านั้น ส่วนการอ่านข้อมูลใน DVD นั้น สามารถอ่านกับเครื่องไหนก็ได้ เช่น DVD+RW สามารถอ่านกับเครื่องเล่นDVD-RW ได้
         5.4    โซนของแผ่นดีวีดี
แผ่นดีวีดีที่ใช้บรรจุภาพยนตร์นั้น จะมีการบรรจุรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes) หรือ โซน (Zone) เพื่อประโยชน์ในการควบคุมลิขสิทธิ์ ทั้งนี้ในแต่ละแผ่นจะบรรจุรหัสไว้อย่างน้อย 1 โซน สำหรับแผ่นที่สามารถใช้ได้กับทุกโซน (All Zone) นั้น จะบรรจุรหัสเป็น1,2,3,4,5,6 นั่นเอง แผ่นพวกนี้ในบางครั้งนิยมเรียกว่าแผ่นโซน 0 โดยปกติเครื่องเล่นดีวีดี รวมถึงดีวีดีรอม ที่ผลิตในแต่ละประเทศ จะสามารถเล่นได้เฉพาะแผ่นที่ผลิตสำหรับโซนนั้นๆ และแผ่นที่ระบุเป็น All Zone เท่านั้น โซนพื้นที่
5.4.1 สหรัฐอเมริกาแคนาดา
5.4.2 ยุโรปญี่ปุ่นแอฟริกาใต้ตะวันออกกลาง ( รวมถึง อียิปต์ )
5.4.3 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( รวมถึง ประเทศไทย )เอเชียตะวันออก ( รวมถึง ฮ่องกง แต่ไม่รวม จีน )
5.4.4 อเมริกากลางอเมริกาใต้โอเชียเนีย
5.4.5 ยุโรปตะวันออกรัสเซียเอเชียใต้แอฟริกาเกาหลีเหนือมองโกเลีย
5.4.6 จีน
5.4.7 สำรอง
5.4.8 ยานพาหนะระหว่างประเทศ เช่น เรือเครื่องบิน
         สำหรับโซน 2 (ยุโรป) อาจจะมีรหัสย่อยตั้งแต่ D1 จนถึง D4 โดย D1 คือจำหน่ายเฉพาะประเทศอังกฤษ, D2 และ D3 กำหนดว่าไม่จำหน่ายในอังกฤษและไอร์แลนด์ ส่วน D4หมายถึงจำหน่ายได้ทั่วทั้งยุโรป ในหนึ่งแผ่นดีวีดีสามารถใส่รหัสโซนรวมกันได้หลายโซน โดยอาจมีรหัสโซน 3/6 เพื่อให้สามารถใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีน

6.                  แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive)

                แฟลชไดรฟ์ หรือ ยูเอสบีไดรฟ์ เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเก็บข้อมูลโดยใช้หน่วยความจำแบบแฟลช ทำงานร่วมกับยูเอสบี 1.1 หรือ 2.0 มีลักษณะเล็ก น้ำหนักเบาเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ไม่ต้องมีตัวขับเคลื่อน (Drive) สามารถพกพาไปไหนได้โดยต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย Port USB ปัจจุบันความจุของไดร์ฟมีตั้งแต่ 8, 16, 32, 64, 128 จนถึง 1024 เมกะไบต์ ทั้งนี้ยังมีไดร์ฟลักษณะเดียวกัน ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2549) บางรุ่นมีความจุสูงถึง16 GB โดยทั่วไปไดรฟ์จะทำงานได้ในหลายระบบปฏิบัติการซึ่งรวมถึง วินโดวส์98/ME/2000/XP แมคอินทอช ลินุกซ์ และยูนิกซ์ แฟลชไดรฟ์ รู้จักกันในชื่อต่างๆ รวมถึงทัมบ์ไดรฟ์”    “คีย์ไดรฟ์”   “จัมป์ไดรฟ์” และชื่อเรียกอื่น โดยขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
6.1    ชื่อเรียกอื่น
ชื่อเรียกของแฟลชไดรฟ์ (รวมถึงคำว่าแฟลชไดรฟ์) ไม่มีชื่อพื้นฐานที่กำหนด โดยผู้ผลิตได้ตั้งชื่อเป็นโมเดลของตัวเอง ซึ่งได้แก่
6.1.1 คีย์ไดรฟ์ (key drive)
6.1.2 จัมป์ไดรฟ์ (jump drive) เครื่องหมายการค้าของเล็กซาร์
6.1.3 ดาต้าคีย์ (data key)
6.1.4 ดาต้าสติ๊ก (data stick)
6.1.5 ทราเวลไดรฟ์ (travel drive) เครื่องหมายการค้าของ เมโมเร็กซ์
6.1.6 ทัมบ์ไดรฟ์ (thumb drive)
6.1.7 ทัมบ์คีย์ (thumb key)
6.1.8 เพนไดรฟ์ (pen drive)
6.1.9 ฟิงเกอร์ไดรฟ์ (finger drive)
6.1.10 แฟลชไดรฟ์ (flash drive)
6.1.11 แฟลชดิสก์ (flash disk)
6.1.12 เมโมรีไดรฟ์ (memory drive)
6.1.13 ยูเอสบีไดรฟ์ (usb drive)
6.1.14 ยูเอสบีคีย์ (usb key)

7.    เทคโนโลยี Blu-Ray
บลูเรย์ดิสค์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) คือรูปแบบของแผ่นออพติคอลสำหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของบลูเรย์มาจาก ช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ ที่ 405 nmของเลเซอร์สี "ฟ้า" ซึ่งทำให้สามารถทำให้เก็บข้อมูลได้มากกว่าดีวีดี ที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm
7.1    ประวัติบลูเรย์
มาตรฐานของบลูเรย์พัฒนาโดย กลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนำโดยโซนี และ ฟิลิปส์ เปรียบเทียบกับ เอ็ชดีดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ในแบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่ เอ็ชดีดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว มี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB
ความจุของบลูเรย์ดิสค์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่น ซีดี/ดีวีดี โดยแผ่นบลูเรย์จะมีลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layerแบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เมกะบิต ต่อ วินาที นั่นหมายความว่า 4x นั่นจะสามารถบันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิต ต่อ วินาที         6.2    Blu-ray Player
แผ่นดีวีดีโดยทั่วๆ ไปมีความจุ 4.7 กิกะไบต์ โดยเป็นขนาดความจุที่สามารถเก็บ ภาพยนตร์ขนาดความยาว 135 นาทีได้ในรูปแบบภาพวิดีโอมาตรฐานที่ถูกบีบอัดแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจุขนาดนี้แม้จะมากก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเก็บภาพยนตร์ในรูปแบบวิดีโอแบบความคมชัดสูงได้ โดยถ้าต้องการเก็บภาพยนตร์ความยาวเท่ากันในรูปแบบวิดีโอความคมชัดสูงแบบบีบอัดจะต้องการพื้นที่เพิ่มมากถึงห้าเท่า ทำให้ Blu-ray และ HD-DVD ถือกำเนิดขึ้นมาโดยใช้แสงเลเซอร์ที่ใช้ในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์แบบใหม่ซึ่งเป็นแสงสีน้ำเงิน (  คือแสงสีน้ำเงิน-ม่วง ) แสงสีน้ำเงินนี้จะมีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดงของแผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงแผ่นดิสก์ได้มาก กว่าบนเนื้อที่เท่าเดิม โดย Blu-ray สามารถเก็บวิดีโอความคมชัดสูงได้นานถึง 9 ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ในดีวีดีทั่วๆ ไปได้นานต่อเนื่องถึง 23 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเรื่องของชั้นเคลือบดิสก์ โดยดิสก์แบบ Blu-ray มีชั้นเคลือบที่มีความหนาเพียงหนึ่งในหกของ ความหนาของดีวีดีทั่วๆ ไปหรือ HD-DVD นั่นทำให้ชั้นข้อมูลของดิสก์แบบ Blu-ray ใกล้ชิดกับผิวหน้าของดิสก์มากขึ้นและทำให้แสงเลเซอร์จากเครื่องเล่นแบบ Blu-ray อ่านข้อมูล ที่ถูกเก็บไว้เป็นชั้น (layer) ชั้นเดียวได้จำนวน มากขึ้น โดยโซนี่เองวางแผนที่จะเพิ่มชั้นของข้อมูลจาก 2 เป็น 4 ชั้นภายในปี 2007 และจะเพิ่มเป็น 8 ชั้นในที่สุด นั่นทำให้ดิสก์แบบ Blu-ray สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้นในแต่ละ ชั้นและเก็บได้หลายชั้นมากกว่า HD-DVD
Blu-ray มีโซนี่เป็นแกนนำภายใต้การสนับสนุนจากบริษัทอีกหลายบริษัท เช่น มัตซึ ชิตะ (พานาโซนิค)ธอมสันแอลจีฟิลิปส์ไพโอเนียร์ชาร์ป และซัมซุง รวมถึงวงการคอมพิวเตอร์อย่างเดลล์และเอชพี ในขณะที่ HD-DVD ถูกพัฒนาโดยโตชิบาและเอ็นอีซีเท่านั้น นั่นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการนั่งดูหนังที่บ้านมากขึ้น โดยเป็นภาพยนตร์ความคมชัดสูงในระดับเดียวกับที่สามารถนั่งดูได้ที่มัลติเพล็กซ์
7.2    เครื่องเล่นบลูเรย์รุ่นแรก
6.3.1 โซนี่ เพลย์สเตชัน 3           
6.3.2 โซนี่ รุ่น BDP-S1
6.3.3 ซัมซุง รุ่น BD-P1000
6.3.4 พานาโซนิค รุ่น DMP-BD10
6.3.5 ไพโอเนียร์ รุ่น BDP-HD1
6.3.6 ฟิลิปส์ รุ่น BDP9000
6.3.7 ชาร์ป รุ่น DV-BP1
6.3.8 แอลจี รุ่น BD100
6.3.9 ไลท์-ออน รุ่น BDP-X1
7.3    Blu-ray Disc และ HD DVD Disc
อย่างไรก็ตาม ความคิดของสตูดิโอภาพยนตร์และผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มองว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยให้สามารถเพิ่มตลาดบันเทิงภายในบ้านให้กว้างขวางมากขึ้นนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะการ ที่ผู้บริโภคต้องมาเดิมพันเลือกข้างของเทคโนโลยีเหมือนสมัยสงครามระหว่าง VHS กับ Betamax เพราะอย่างน้อยภายในปีหน้าก็จะมีเครื่องเล่นที่สามารถสนับสนุนมาตรฐานทั้งสองได้ แต่จะเป็นเพราะอาจจะถึงคราวสิ้น สุดยุคของดิสก์แล้วก็ได้ โดยมี 4 เหตุผลสำคัญที่มาสนับสนุน ได้แก่
7.3.1    อินเทอร์เน็ต ไมโครซอฟท์กำลังเปิดบริการให้เช่าภาพยนตร์และบริการดาวน์โหลดผ่านเครื่องเล่น Xbox Live ของตัวเอง โดยเป็นบริการแรกที่รวมเอาการดาวน์โหลดภาพยนตร์ที่มีความคมชัดสูงด้วย ซึ่งถือเป็น การตัดหน้าเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ซึ่งจะรวมเอาเทคโนโลยี Blu-ray เอาไว้ด้วย โดยเครื่อง Xbox 360 สามารถเล่นได้เพียงแค่ดีวีดีทั่วๆ ไปเท่านั้น บริการให้เช่าวิดีโอผ่านการดาวน์โหลดถือเป็นการข้ามความจำเป็นที่ต้องใช้มีเดียหรือดิสก์ไป รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาที่ iTunes ต้องเผชิญในการขายภาพยนตร์โดยเฉพาะภาพยนตร์ความละเอียดสูง โดยเมื่อเราดาวน์โหลดภาพยนตร์เข้ามาไว้ในเครื่อง Xbox แล้วซึ่งปกติเครื่อง Xbox ต้องต่อกับโทรทัศน์อยู่แล้วก็ทำให้สามารถดูผ่านโทรทัศน์ได้เลย แต่ข้อเสียก็คือ ต้องมีเครื่อง Xbox ด้วย
7.3.2    Cable on-demand เครื่องมืออย่าง Comcast Box เป็น การนำภาพยนตร์ความคมชัดสูงมาเจอกับจอแบบ HDTV นอกจากนี้การ ดูแบบออนดีมานด์สามารถเปิดดูได้ทันทีโดยไม่ต้องมานั่งรอดาวน์โหลดให้เสร็จอีก แต่สตูดิโอโดยส่วนใหญ่ก็พยายามไม่เอาภาพยนตร์ที่เพิ่งลง โรงมาให้ดูผ่านบริการแบบออนดีมานด์ แต่ทุกวันนี้สถานการณ์กำลังจะ เปลี่ยนแปลงไป และมีการลองนำภาพยนตร์ที่เพิ่งลงโรงมาฉายบ้างแล้ว ที่สำคัญเทคโนโลยีป้องกันการทำซ้ำของบริษัทเคเบิลทั้งหลายน่าจะทำให้ ผู้ผลิตภาพยนตร์เบาใจลงบ้าง เช่นเดียวกับบริการให้เช่าภาพยนตร์ของ Xbox ที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะหมดอายุภายใน 24 ชั่วโมงภายหลังจาก การดาวน์โหลด
7.3.3    การปรากฏของรูปแบบของดิสก์แบบใหม่หมายถึงเงินลงทุน เรื่องฮาร์ดแวร์ที่ต้องเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าหลังจากลงทุนซื้อ HDTV (ราคาประมาณ 3,000 เหรียญ) รวมถึงเครื่องเสียงอีกจำนวนหนึ่ง คงไม่มีใครอยากจะลงทุนอีกมากมายนักแน่นอน และเครื่องเล่นวิดีโอความ คมชัดสูงก็ไม่ใช่ถูกๆ (เครื่องเล่น HD-DVD ราคาประมาณ 350-600 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่เครื่องเล่น Blu-ray ราคาอยู่ระหว่าง 750-1,000 เหรียญสหรัฐ) การตัดสินใจที่จะให้เครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น 3 ของโซนี่ เองสนับสนุนเทคโนโลยี Blu-ray ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญและยอดเยี่ยม ในการเพิ่มอุปสงค์ต่อภาพยนตร์ที่ใช้เทคโนโลยี Blu-ray อย่างไรก็ตามถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของโซนี่ด้วยเพราะถ้ามาตรฐานนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากตลาดก็จะทำให้เครื่องเพลย์สเตชั่นของโซนี่กลายเป็นเครื่องพิกลพิการไปด้วย
7.3.4    การกลับมาอีกครั้งของฮาร์ดดิสก์ไดรว์ การดาวน์โหลดภาพยนตร์ต่างจากดีวีดีตรงที่เพียงต้องการพื้นที่ที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์เท่านั้น โดยสามารถเก็บได้นานเท่าที่ต้องการ โดยอาจจะเก็บไว้ดูเพียงครั้งสองครั้ง หรือเก็บไว้ตลอดกาลก็ได้เช่นกัน เมื่อเทียบกับการโหลดเพลงผ่าน iTunes ซึ่งมีราคาถูกกว่าการซื้ออัลบั้มจริงๆ 8-10 เหรียญสหรัฐ ตามร้านขายปลีกทั่วไป และเมื่อพิจารณาว่าราคาฮาร์ดดิสก์ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องในขณะที่ขนาดความจุกลับเพิ่มขึ้นอย่าง ก้าวกระโดดเช่นกัน ก็ยิ่งเห็นประโยชน์ของฮาร์ดดิสก์
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการดาวน์โหลดภาพยนตร์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตก็คือ การนำไปใช้งานที่ยังยากอยู่เมื่อเทียบกับดูผ่าน แผ่นดีวีดีทั่วๆ ไปเพราะจำเป็นต้องมีทักษะในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การที่ต้องนั่งรอดาวน์โหลดให้เสร็จถึงจะดูได้ก็เป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน
ดิสก์จะถึงกาลอวสานตามการคาดการณ์หรือไม่ก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงคือสัจธรรมอันเป็นนิรันดรที่ใครก็ตามที่ก้าวเข้ามาสู่โลกของเทคโนโลยีหรือโลกใดๆ ก็ตามแต่ไม่สามารถข้ามพ้นมันไปได้



8.    เทคโนโลยี HD-DVD
HD DVD ( High Definition DVD หรือ High Density DVD ) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง ( optical disc ) ที่ใช้บันทึกวิดีโอความละเอียดสูง ( high definition ) หรือข้อมูลชนิดอื่นๆ ก็ได้ HD DVD มีลักษณะใกล้เคียงกับ Blu-ray ซึ่งเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลคู่แข่ง โดยใช้ขนาดแผ่นเท่ากับซีดีรอม ( เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซม. )
8.1    ประวัติของ HD DVD
HD DVD ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายบริษัท เช่น โตชิบา, NEC, ซันโยไมโครซอฟท์ และอินเทล รวมถึงบริษัทภาพยนตร์อย่าง Universal Studios โตชิบายังได้ออกวางขายเครื่องเล่นแผ่น HD DVD เครื่องแรกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 2006
8.2    ความจุของ HD DVD
HD DVD แบบเลเยอร์เดียวจุข้อมูลได้ 15GB และ 30GB สำหรับแบบสองเลเยอร์ โตชิบาได้ประกาศว่าจะผลิตแผ่นแบบ 3 เลเยอร์ที่จุได้ 45GB ในตัวแผ่น HD DVD สามารถใส่ข้อมูลชนิดดีวีดีแบบเดิม และ HD DVD ได้พร้อมกัน การอ่านข้อมูลใช้เลเซอร์ความยาวคลื่นแสงสีฟ้า (405นาโนเมตร )
ชั้นข้อมูลจะถูกบันทึกถัดไปจากพื้นผิว 0.6 มิลลิเมตรเช่นเดียวกับดีวีดีทั่วไป เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลวิดีโอคือ MPEG-2, Video Codec 1 และ H.264/MPEG-4 AVC สนับสนุนระบบเสียงแบบ7.1 ในส่วนความละเอียดของภาพนั้นขึ้นกับจอภาพที่ใช้ด้วย แต่สามารถขึ้นได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
8.3    HD DVD Player
เมื่อเรามองย้อนไปในอดีตจะพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอันมีผลต่อการเสพสิ่งบันเทิงล้วนสร้างความแตกต่างให้กับผู้เสพในเรื่องประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ การถือกำเนิดของโทรทัศน์ที่กลายเป็นเครื่องใช้ประจำบ้านไปแล้วและเป็นอุปกรณ์ที่เกือบมาทำให้ธุรกิจภาพยนตร์ต้องถึงกาลอวสานโดยทำให้จำนวนผู้ออกไปชมภาพยนตร์ นอกบ้านในปี 1948 ที่มีจำนวน 90 ล้านคนต่อสัปดาห์เหลือเพียง 20 ล้านคนต่อสัปดาห์ในปี 1966 และเมื่อคนอเมริกันมีโทรทัศน์สีใช้แล้วก็ทำให้คนดูอีกกว่า 70 ล้านคนต่อสัปดาห์ เลิกไปโรงภาพยนตร์ และทำให้ฮอลลีวูดต้องหันมาลงทุนโฆษณาจำนวนมหาศาล เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ผ่านโทรทัศน์เพื่อดึงคนกลับไปดูภาพยนตร์อีกครั้ง เมื่อมีวิดีโอและดีวีดี รวมถึงการสามารถทำสำเนาวิดีโอและดีวีดีเถื่อนได้ก็ส่งผลให้โรงภาพยนตร์แทบจะหายไปจากทวีปเอเชียและยุโรปตะวันออกเลย นี่หมายความว่า Blu-ray รวมถึง HD-DVD กำลังจะมาสร้างปรากฏการณ์ใหม่อีกครั้งต่อวงการฮอลลีวูด จริงๆ แล้วดีวีดีแบบ Blu-ray น่าจะเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโซนี่ โดยการที่ดีวีดีแบบนี้จะมีชั้นของการเก็บข้อมูล หลายชั้น ซึ่งนอกจากสามารถเก็บข้อมูลดิจิตอลจำนวนมากๆ ได้แล้วยังสามารถใช้ใน การบันทึกข้อมูลที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ตได้ด้วย โดยเป็นโปรโมชั่นของเว็บไซต์ของ โซนี่เองที่สามารถเพิ่มเกมมิวสิควิดีโอ รวมถึง อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ที่สามารถนำมาเพิ่มให้เต็มครบชุดได้

9.    Floptical Disk
เป็นการนำเทคโนโลยีด้านแสงเข้ามาช่วยในการบันทึกข้อมูล แต่ไม่ได้ใช้แสงโดยตรง ลักษณะ Floptical disk จะมีรูปร่างเหมือนฟล็อปปี้ดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วทุกประการ แต่มีความจุมากขึ้นเป็น 120 เมกะไบต์ทีเดียว และตัวไดรว์ยังใช้อ่านเขียนข้อมูลแผ่นดิสก์ธรรมดาได้ด้วย ชื่อทางการค้าของ
Floptical Drive
ที่เป็นที่รู้จักกันได้แก่ SuperDisk จากบริษัท Imation
9.1    หลักการของ Floptical Drive
หลักการของ Floptical Drive อาศัยการบันทึกข้อมูลด้วยสนามแม่เหล็กเหมือนฟล็อปปี้ดิสก์ธรรมดา แต่ใช้กลไกการอ่านที่เรียกว่า optical servo (หรือบางทีเรียกว่า Laser servo)หรือวงจรเลื่อนตำแหน่งหัวอ่านควบคุมด้วยแสง ทำให้สามารถเลื่อนหัวอ่าน/เขียนได้ตรงกับแทรคที่มีความหนาแน่นกว่าดิสเก็ตธรรมดามาก เช่น ในดิสก์ธรรมดามี 80 แทรค 2480 sector แต่ในFloptical disk จะมี ถึง 1,736 แทรค 245,760 sector ทำให้ได้ความจุรวมถึง 120 เมกะไบต์ต่อแผ่น Floptical disk หมุนด้วยความเร็ว 720 รอบต่อนาที และมีอัตรารับส่งข้อมูล ประมาณ3.2-5.4 เมกะบิตต่อวินาที

10.    ZIP drive ของ Iomega  Jazz drive
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีคล้ายกัน แต่รูปแบบต่างกันไป เช่น Zip Drive จากIomega ที่ออกมาก่อน Superdisk แต่ได้รับความนิยมมากพอสมควร Zip Drive มีทั้งรุ่นที่ต่อกับParallel port,USB port และแบบ SCSI และได้เพิ่มความจุจาก 100 เป็น 250 เมกะไบต์Iomega ยังได้ผลิต Jaz Drive ที่มีลักษณะเหมือนฮาร์ดดิสก์ถอดได้ โดยจะมีตัวไดรว์เป็นระบบSCSI เท่านั้น และมีแผ่นบรรจุข้อมูลขนาด 1 GB และ 2 GB นิยมใช้สำหรับการสำรองข้อมูลย้ายไปมา เนื่องจากมีความเร็วน้อยกว่าฮาร์ดดิสก์ และยังมีราคาแพงกว่า Zip หรือ Superdisk มาก


วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เทคโนโลยี ซีพียู และเมนบอร์ด

1.CPU Intel Core i 7


          i 7 เป็น CPU ที่เป็นระดับสูงของทาง intel สามารถใช้งานได้ด้านประมวลผลสูงๆ ได้ดีไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิก การตัดต่อวีดีโอ ตัดต่อรูปภาพ หรือเล่นเกมหลักๆ ต้องเป็นตัวนี้เลย คุณสมบัติคือเป็น CPU ที่มีขนาด 4 Core 8 Threads สามารถที่จะประมวลผลได้เร็วมาก รองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ความเร็วตามท้องตลาดที่จำหน่ายจะอยู่ที่ 3.4 – 3.9 GHz และมี Socket 1115 และ Socket 2011 ราคาจะอยู่ที่ 9,000 – 35,000 เลยทีเดียวต้องบอกว่าสำหรับผู้ที่มีงบประมาณเยอะและผู้ทำงานด้านคอมพิวเตอร์เป็นหลักถึงจะคุ้มค่า แต่ก็มีหลายฟังก์ชันที่ไม่ครอบคลุม จึงทำให้รีดพลังจริงๆ ของ CPU ตัวออกมาได้ไม่หมด

2.CPU Intel Core i 5


           i 5 เป็น CPU ระดับกลาง ความสามารถนั้นรองรับการประมวลผมได้สูงเช่นกันแต่ไม่มากเหมาะสำหรับผู้ใช้งานได้กราฟฟิก และมัลติมีเดียได้เช่นกัน แต่ใช้ไปอาจจะไม่เร็วเท่า I 7 อาจจะมีอืดไปนิดๆ แต่ถือได้ว่ามีความคุ้มกว่าในปัจจุบันแล้วเกมสามารถเล่นได้ทุกประเภท และมีความนิยมมากเพราะว่าราคาไม่แพงเวอร์ สามารถซื้อได้คุ้มๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเรื่องประสิทธิภาพและความเร็ว ความเร็วตามท้องตลาดที่จำหน่ายจะอยู่ที่ 3.0 – 3.4 GHz และมี Socket 1115 มีขนาด 4 Core 4 Threads ราคาจะอยู่ที่ 5,000 – 7,000 ไม่แพงมาก สำหรับคนที่ต้องการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในระดับดี

3.CPU Intel Core i 3

 
                          

         i 3 เป็น CPU ระดับล่าง ความสามารรถนั้นก็เล่นเน็ตพิมพ์งานหรือว่าทำงานออฟฟิตทั่วไปได้อย่างสบายเลยทีดี ไม่ว่าดูหนังหรือว่าเล่นเกมบางอย่างได้ดีในราคาที่ไม่สูง ส่วนใหญ่จะมีจำหน่ายมากที่สุดเพราะว่าสามรถทำงานได้อย่างดีกับผู้ใช้งานทั่วๆไปไม่ต้องใช้งานหนักมาก ถ้าเป็นคนทีทำงานทั่วไปพนังงานราชการก็เหมาะ หรือว่านักเรียนนักศึกษานิยมใช้กัน ความเร็วตามท้องตลาดที่จำหน่ายจะอยู่ที่ 3.1 – 3.3 GHz และมี Socket 1115 มีขนาด 2 Core 4 Threads เท่านั้น ราคาจะอยู่ที่ 3,000 – 4,000 ไม่แพง


4.AMD FX (938+)

  
                                

    เรามาดูรุ่น AMD FX (938+) สำหรับรุ่นนี้มีแบ่งเป็น 3 รุ่นและราคาที่แตกต่างกันเช่นกัน เอาเป็นว่าผมรวมให้เลยก็แล้วกันตัวนี้จะมีราคาตั้งแต่ถูกไปยังราคาสูง
AMD FX-4xxxx ราคาจะอยู่ที่ 3 พันกว่าๆ สามารถทำงานได้ออฟฟิตทั่วไปได้ดีทำงานได้ดีกับพิมพ์งาน เล่นเน็ต แต่สามารถเล่นเกมได้เช่นกัน ต้องบอกว่าประสิทธิในด้านกราฟฟิกเองก็มีความเร็วได้ดี
AMD FX-6xxx ราคาจะอยู่ที่ 4 พันกว่าถือได้ว่าเป็น CPU ที่มีประสิทธิภาพมากเลยทีเดียวจากการทดสอบจากค่ายต่างๆ ในด้านของคุ้มค่าแล้ว สามารถทำงานได้ดีทุกรูปแบบ
AMD FX-8xxx มีขนาดถึง 8 Core เลยทีเดียวแต่ว่าราคาก็จะอยู่ที่ 6 พันขึ้นไป แต่ว่าในเรื่องที่ระบบแล้วอาจจะทำให้เจ้าตัวนี้ไม่คุ้มราคาเท่าไหร่เนื่องจากว่าฟังก์ชั่นการรองรับต่างๆ แล้วไม่ราคาที่จะรีดพลังออกมาได้ จึงกลายเป็นคนที่สัมผัสความเร็วเจ้าตัวนี้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
         มาดู AMD FM1 APU (905) อาจจะเรียกว่า APU ก็ได้แต่ก็เป็นหน่วยประมวลผลกลางนั่นล่ะครับ แต่ว่า APU เพราะว่ามีความพิเศษกว่า CPU ทั่วไปเนื่องจากได้เพิ่มการทำงานของการประมวลด้านกราฟฟิก สรุปคือเราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อการ์ดจอเพิ่มก็สามารถที่จะเล่นเกม 3 มิติได้ดี สามารถที่จะประหยัดงบประมาณตรงนี้ไปได้ เหมาะสมกับคอเกมทั้งหมายที่มีงบประมาณที่จำกัด และร้านเกมจะประหยัดงบประมาณไปได้มาก แค่ไม่เท่าไหร่ก็ซื้อคอมพ์มาเล่นเกมได้แล้ว จะมีความเร็วอยู่ที่ 2500 - 3000 MHz ราคาอยู่ที่ 1600 – 4000


5.   GIGABYTE Z77X-UD3H เมนบอร์ด Z77 กับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Ultra Durable4


                                      
             ด้วยกระแสของซีพียูสุดร้อนแรงในตระกูล Ivy Bridge จากอินเทลที่มาพร้อมกับกระบวนการผลิตในแบบ 22 nm ทำให้เมนบอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้ชิปเซ็ต Z77 กลายเป็นอีกหนึ่งซีรี่ย์ที่ได้รับความนิยมขึ้นมาแทนที่ Z68 มากขึ้นเรื่อยๆ และ GIGABYTE ยักษ์ใหญ่แห่งวงการก็คงไม่พลาดที่ดันเมนบอร์ดในซีรี่ย์นี้ออกมาชนกับค่ายอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
            GIGABYTE Z77X-UD3H เมนบอร์ดในระดับปานกลางที่ใช้ชิปเซ็ต Z77 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ของทางกิ๊กกาไบรท์อย่างครบถ้วน ซึ่งจะต่างจากในรุ่น D3H ที่จะตัดบางฟังก์ชั่นออกไป ซึ่งคงต้องดูให้ดีเพราะอาจจะซื้อผิดได้เพราะชื่อรุ่นนี้ตัดตัวอักษรออกไปแค่ตัวเดียวแถมหน้าตาของเมนบอร์ดยังเหมือนเคาะออกมาจากแท่นพิมพ์เดียวกันเลยทีเดียวจะต่างกันก็นิดหน่อยเท่านั้น
สำหรับการรองรับซีพียูก็ครอบคลุมหลายสิบรุ่นไล่มาตั้งแต่ Sandy Bridge ในรุ่นก่อนที่เป็น 1155 จนมาถึง Ivy Bridge ที่เป็ยซีพียูในแบบ 22 nm แต่ก็ใช้ซ็อกเก็ตเดียวกันทำให้สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปํยหา ทางด้านแรม DDR3 รองรับได้สูงสุดถึง 2666MHz ในโหมดโอเวอร์คล็อกกันเลยทีเดียว ซึ่งถึงว่าสูงมากที่สุดในขณะนี้ก็ว่าได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีแรมรุ่นไหนในตลาดที่จะมีความเร็วมาตราฐานความเร็วนี้ออกมาก็ตาม สามารถใส่ได้สูงสุดที่ 32GB หรือแถวละ 8GB นั่นเอง
พอร์ตสตอเรจให้มาที่ 6 พอร์ต โดยแบ่งออกเป็น SATA 3Gb/s ทั้งหมด 4 พอร์ต และ SATA 6Gb/s อีก 2 พอร์ต รองรับ RAID 0, 1, 5 และ 10 แถมยังมี mSATA ที่อยุ่กึ่งกลางบอร์ดมาให้อีกหนึ่ง ซึ่งก็มีไว้เพื่อใช้งานกับ SSD ที่เป็นอินเทอร์เฟสนี้โดยเฉพาะเพื่อใช้งานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ในเทคโนโลยี Intel Smart Response แต่ในไทยก็อาจจะหาไดรฟ์ประเภทนี้ได้ยากซักหน่อย นอกจากนี้แล้วด้านหลังก็ยังให้ eSATA 6Gb/s มาอีก 2 พอร์ต มีความเร็วไม่ได้ต่างจากการต่อผ่านด้านหน้าแต่อย่างใดทำให้รวมกันแล้วก็มีอยู่ 8 พอร์ตด้วยกันเลยทีเดียว PCIe 3.0 x16 จัดมาให้ที่ 3 สล็อตซึ่งจะวิ่งที่ x16, x8 และ x4 ตามลำดับ สามารถรองรับได้ครบทั้ง CrossFireX และ SLI ส่วน PCIe x1 มีให้มาถึง 3 สล็อต และ PCI ให้มาอีกหนึ่ง
               ตัวพีซีบีรุ่นนี้ทำออกมาแปลกตาจากบอร์ด GIGABYTE รุ่นอื่นๆ เพราะจะมาในโทนสีดำเป็นหลักเพียงสีเดียวเท่านั้นดูเรียบง่ายและไม่เล่นสีเหมือนรุ่นก่อนๆ จะมีก็แต่เพียงส่วนของฮีทซิงค์ทั้งสองจุดเท่านั้นที่จะใช้ฮีทซิงค์สีน้ำเงินซึ่งก็ตัดกับสีดำได้อย่างสวยงามดี ตรงกึ่งกลางบอร์ดจะมีสล็อต mSATA มาให้ด้วยสำหรับการใช้งานกับ SSD เพื่อใช้กับเทคโนโลยี Intel Smart Response หรือการทำงานร่วมกันระหว่างฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์กับตัว SSD ทำให้มีความเร็วในการใช้งานที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง Ultra Durable 4 ที่พัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในรุ่นที่สี่แล้ว มีจุดเด่นตรงการเพิ่มชั้นทองแดงขนาด 2 เท่ามาไว้ในส่วนของชั้นเลเยอร์ของตัวแผ่นพีซีบีส่งผลให้การกระจายความร้อนทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของภาคจ่ายไฟซีพียูที่จะมีความร้อนสูง อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้มากถึง 50% เลยทีเดียว ส่งผลให้การโอเวอร์คล็อกทำได้ดีกว่าเดิม
              ในส่วนของตัวพีซีบีเองก็มีการเปลี่ยนวัสดุมาใช้เป็น Glass Fabric ที่จะมีช่องว่างระหว่างเส้นใยแคบลงกว่าเดิมส่งผลให้ความชื้นเข้าไปสะสมได้น้อยลงส่งผลให้ตัวบอร์ดได้รับความเสียหายได้ยากยิ่งขึ้นอีกด้วย สามารถป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรและความผิดพลาดของระบบที่เกิดจากสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงได้ดี ทางด้านตัวคาปาซิเตอร์ก็เปลี่ยนมาใช้เป็น โซลิด คาปาซิเตอร์ แท้ๆ จากญี่ปุ่นทั้งหมดที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึงกว่าห้าหมื่นชั่วโมง ส่วนตัว Lower RDS(on) MOSFETs ก็มีอุณหภูมิต่ำกว่ารุ่นทั่วๆ ไป
             ทางด้านหลังพอร์ตกราฟิกมากันครบทั้ง 4 รูปแบบไม่ว่าจะเป็น D-Sub, DVI, HDMI และ Display Port ที่สามารถรองรับความละเอียดได้สูงถึง 2560 x 1600 มี USB ซึ่งเป็นแบบ 2.0/3.0 คือใช้ได้ทั้งสองแบบไม่ต้องแยกกันเหมือนบอร์ดตัวอื่นอยู่ 6 พอร์ต มี eSATA 6Gb/s ให้มาอีก 2 พอร์ต ส่วนระบบเสียงใช้ชิปเสียงอย่าง VIA VT2021 ที่รองรับเสียงได้ถึง 7.1 แชนแนลและมีพอร์ตทั้งที่เป็นอนาล็อกและดิจิตอล
ผลการทดสอบ
หน้าจอในการปรับแต่งไบออสวิวัฒนาการมาเป็น 3D Bios ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของค่ายกิ๊กกาไบร์ตที่ไม่เพียงแต่จะใช้เมาส์และเป็นรูปแบบการปรับแต่งจากตัวหนังสือเป็นไอคอนต่างๆ แล้ว ยังล้ำสมัยมาด้วยการโชว์ภาพให้เห็นเมนบอร์ดทั้งตัวกันเลยทีเดียว และสามารถชี้ไปตามจุดต่างๆ เพื่อเลือกเข้าไปปรับในส่วนนั้นๆ ได้เลย นับว่าเป็นเจ้าแรกก็ว่าได้ที่ทำมาในรูปแบบนี้ แปลกใหม่และดูน่าสนใจดีไม่น้อยสำหรับผู้ที่เบื่อความซ้ำซากจำเจจากรุ่นอื่นๆ การปรับไฟเลี้ยงก็สามารถปรับได้ทาง 3D Bios หรือจะปรับแบบละเอียดก็ทำได้เช่นกัน โดยตัว Vcore ก็ปรับได้สูงสุดที่ +0.640mV QPI ได้ที่ 1.700V สำหรับการโอเวอร์คล็อกก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้บอร์ดชิปเซ็ต Z68 สามารถลากพาตัว Core i5-2500K จาก 3.3GHz ไปที่ 4.8GHz ได้ไม่ต่างกัน
                                      
       สรุป
                เมนบอร์ด Z77 ที่รองรับซีพียูได้ถึง Ivy Bridge พร้อมกับสล็อต mSATA กึ่งกลางบอร์ดสำหรับการใช้งานกับตัว SSD ที่ใช้อินเทอร์เฟสแบบนี้ เพื่อใช้งานในโหมด Intel Smart Response สามารถใช้งานได้ทั้ง SLI และ CrossFireX มีพอร์ตกราฟิกครบทั้ง 4 รูปแบบ
จุดเด่น : เมนบอร์ด Z77 รองรับซีพียู Ivy Bridge 22nm พร้อมกับเทคโนโลยี Virtu MVP
ข้อสังเกต : มี mSATA อยู่ออนบอร์ด
Quick Score 85% Excellent
Contact : GIGABYTE TECHNOLOGY ( Thailand )
URL : http://th.giga-byte.com
Price : Call

6. GIGABYTE Z77X-UP7 ที่สุดของ Z77 เพื่อการโอเวอร์คล็อกพร้อม WiFi ในตัว

                             

             ในที่สุดก็มาถึงคิวของที่สุดเมนบอร์ดในระดับสูงสุดของซีรี่ย์ Z77 ที่ไปคว้ารางวัลต่างๆ มามากมายทั่วโลก หนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงการทำสถิติเมนบอร์ด Z77 ที่สามารถโอเวอร์คล็อกได้สูงที่สุดเป็นสถิติโลกถึง 7.102GHz อีกด้วย ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าความสามารถในการโอเวอร์คล็อกของบอร์ดตัวนี้เข้าขั้นเทพอย่างแน่นอน
             GIGABYTE Z77X-UP7 เมนบอร์ดในซีรี่ย์ Z77 รุ่นสูงสุดที่จัดเต็มมาให้ครบทุกฟีเจอร์เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเป็นที่สุดในทุกๆ ด้านและไม่เกี่ยงเรื่องราคาที่ค่อนข้างจะสูงเช่นกัน มาพร้อมกับภาคจ่ายไฟที่มากถึง 32+3+2 เฟส น่าจะมากที่สุดในขณะนี้แล้วก็ว่าได้ ดังนั้นจึงมั่นใจในเรื่องเสถียรภาพในการใช้งานรวมไปถึงความสามารถในการโอเวอร์คล็อกได้อย่างแน่นอน เพราะมีตำแหน่งการันตีความสามารถในการเพิ่มความเร็วได้สูงถึง 7GHz เป็นเครื่องยืนยันถึงแม้ว่าอาจจะใช้อุปกรณ์ระบายความร้อนแบบทั่วๆ ไปคงไม่มีทางทำได้ถึงขนาดนั้นก็ตาม แต่เพียงแค่ระดับ 5GHz ขึ้นไปก็คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหา เพียงแค่นี้ก็คุ้มค่าที่จะลงทุนกับบอร์ดตัวนี้แล้ว
           ทางด้านซีพียูที่รองรับนับถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปกว่า 100 รุ่นเข้าไปแล้วเพราะครอบคลุมซ็อกเก็ต 1155 ตั้งแต่ Sandy Bridge ไปจนถึง Ivy Bridge ที่เป็น 22 nm ตั้งแต่รุ่นเล็กสุดอย่าง Celeron ไปจนถึง Xeon มีซ็อกเก็ตแรม DDR3 อยู่ 4 DIMM รองรับความเร็วได้ตั้งแต่ 1066MHz ไปจนสูงสุดถึง 2800GHz หรือสูงกว่านี้ขึ้นไปอีกถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีแรมความเร็วระดับนี้วางขายก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นว่าบอร์ดตัวนี้สามารถรองรับไปได้อีกยาวนาน
             พอร์ตสตอเรจจัดมาให้ถึง 10 พอร์ต ด้วยชิปเซ็ตสองตัวด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็น SATA 3Gb/s ทั้งหมด 4 พอร์ต และ SATA 6Gb/s อีก 6 พอร์ต รองรับ RAID 0, 1, 5 และ 10 แถมยังมี mSATA ที่มักจะเอาไว้ใช้กับตัว SSD อยู่ด้านหลังพอร์ต SATA มาให้ด้วย เพื่อใช้งานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ในเทคโนโลยี Intel Smart Response PCIe 3.0 x16 จัดมาให้ถึง 5 สล็อตซึ่งจะวิ่งที่ x16 อยู่ 3 สล็อตและ x8 อีก 2 สล็อต สามารถรองรับได้ครบทั้ง 4-Way, 3-Way และ 2-Way CrossFireX และ nVidia SLI ส่วน PCIe x1 มีให้มาอีก 2 สล็อต โดยตัดเอา PCI ออกไปดังนั้นผู้ที่มีการ์ดรุ่นนี้อยู่ก็คงต้องเลิกใช้
ตัวพีซีบีมาในโทนสีดำและส้มเพียงสองสีเท่านั้นเป็นหลักซึ่งจะตัดสลับกันไปมาอย่างลงตัว ตัวฮีทซิ้งค์ระบายความร้อนในแต่ละส่วนก็ออกแบบมาได้อย่างสวยงามซึ่งมีอยู่ถึง 4 ตัวด้วยกันซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยฮีทไปป์ทำให้การส่งผ่านความร้อนเป็นไปได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นและยังช่วยลดความร้อนลงไปได้ไม่น้อยเสริมด้วยเทคโนโลยี Ultra Durable 5 ที่เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเมนบอร์ดกิ๊กกาไบรต์ในทุกๆ รุ่น ซึ่งมีจุดเด่นตรงการเพิ่มชั้นทองแดงขนาด 2 เท่ามาไว้ในส่วนของชั้นเลเยอร์ของตัวแผ่นพีซีบีส่งผลให้การกระจายความร้อนทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของภาคจ่ายไฟซีพียูที่จะมีความร้อนสูง อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้มากถึง 50% ส่งผลให้การโอเวอร์คล็อกทำได้ดีกว่าเดิม โดยมีภาคจ่ายไฟสูงถึง 37 เฟส โดยแบ่งเป็นซีพียู 32 เฟสกันเลยทีเดียวน่าจะมากสุดในขณะนี้ก็ว่าได้
ทางด้านมุมบอร์ดตรงส่วนของซ็อกเก็ตแรมก็จะเห็นปุ่มที่มีมาให้หลายปุ่มด้วยกัน ทั้งปุ่มพาวเวอร์และเคลียร์ซีมอสแต่ที่เพิ่มเข้ามาอีกห้าปุ่มก็คือปุ่มสำหรับการโอเวอร์คล็อก ทั้งการเพิ่มความเร็วบัสและการเพิ่มตัวคูณเรโช ซึ่งสามารถปรับเพิ่มลดได้ครั้งละ 1MHz ซึ่งนับว่าละเอียดไม่ต่างจากการปรับในหน้าไบออส ทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้าหน้าไบออสก็สามารถเพิ่มความเร็วได้ทันทีเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอมการโอเวอร์คล็อกน่าจะถูกใจเป็นพิเศษ
         ด้านหลังมีพอร์ตกราฟิกครบทั้ง D-Sub, DVI, HDMI และ Display Port มีแลนในแบบ Dual Gigabit LAN ถ้ายังไม่พอก็ยังมีการ์ดแลนในแบบ Dual WiFi พ่วงด้วย Bluetooth 4.0 มาให้ด้วยอีก ซึ่งสามารถเสียบเสาได้สองตัวพร้อมกันเพื่อเพิ่มความแรงในการรับส่งสัญญาณแต่ก็ต้องเสียบผ่านสล็อต PCIe x1 ถึงจะใช้งานได้
                               
ผลการทดสอบ
หน้าจอไบออสก็ยังคงใช้ควบคู่กันระหว่าง 3D BIOS และแบบดั้งเดิมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชำนาญการปรับแต่งแล้วแต่ที่เหมือนกันก็คือสามารถใช้เมาส์ได้ทั้งสองโหมด แต่ถ้าเป็น 3D ก็จะดูง่ายกว่าเพราะเลือกจิ้มในส่วนที่เราจะปรับแต่งได้ทันทีจะโอเวอร์คล็อกก็ชี้ไปที่ซ็อกเก็ตซีพียูแล้วก็เข้าไปเพิ่มความตัวคูณเรโช เพิ่มความเร็วบัส ปรับความเร็วแรม ได้อย่างง่ายดายไม่ยุ่งยาก สามารถปรับเพิ่มแรงดันไฟจากจุดนี้ได้เช่นกัน ตัว Vcore ได้สูงสุดที่ 1.850V และแรมได้สูงสุด 2.100V หรือถ้าจะปรับแบบละเอียดก็ชี้ไปตรงส่วนของ 3D Power ที่จะพาเข้าไปส่วนของการปรับแต่งส่วนต่างๆ ได้ละเอียดไม่แพ้โหมด Advanced การโอเวอร์คล็อกก็ทำได้อย่างง่ายดายตามสไตล์กิ๊กกาไบรต์ที่ขึ้นชื่อด้านนี้อยู่แล้ว สามารถลากพาตัว Core i5-3570K จาก 3.4GHz ไปที่ 4.8GHz ได้อย่างสบาย
สรุป
เมนบอร์ดชิปเซ็ต X79 จากกิ๊กกาไบรต์ที่ถูกจัดให้เป็นรุ่นใหญ่สุดของซีรี่ย์ มีพอร์ตกราฟิกครบทุกรูปแบบ แลนมีทั้ง Dual Gigabit LAN และ Dual WiFi พร้อมเสาสองตัวที่ต่อผ่าน PCIe x1 รวมไปถึง Bluetooth 4.0 เรียกว่าครบถ้วนทีเดียวด้านเน็ตเวิร์ค ที่สำคัญรองรับ 4-Way ทั้ง SLI และ CrossFire คอเกมเมอร์น่าจะถูกใจไม่น้อย
จุดเด่น : เมนบอร์ด Z77 ที่รองรับ 4-Way CrossFireX และ nVidia SLI มีการ์ด WiFi พร้อม Bluetooth 4.0 มาให้ด้วย
ข้อสังเกต : ไม่มี PCI
Quick Score 89% Excellent
Contact : GIGABYTE TECHNOLOGY ( Thailand )
URL : http://th.giga-byte.com
Price : Call

7.  GIGABYTE Z77X-UP5TH เมนบอร์ด Z77 ที่ครบถ้วนด้านเน็ตเวิร์คพร้อม Thunderbolt

                                     
              เป็นอีกหนึ่งรุ่นต่อมาจาก Z77X-UP4TH ที่เคยทดสอบไปก่อนหน้านี้ จัดเป็นเมนบอร์ด Z77 ที่เรียกว่าน่าจะครบเครื่องที่สุดในด้านเทคโนโลยีในขณะนี้ก็ว่าได้เพราะมีทั้ง Ultra Durable 5 และ Thunderbolt พอร์ตที่เชื่อมต่อด้วยความเร็วสูงกว่า USB 3.0 ถึงสองเท่า อีกทั้งก็ยังมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนักสามารถหาซื้อได้อย่างสบายๆ
             GIGABYTE Z77X-UP5TH เมนบอร์ดชิปเซ็ต Z77 ที่ดูในภาพรวมแล้วก็อาจจะไม่แตกต่างจากในรุ่น Z77X-UP4TH มากนัก โดยที่เห็นได้แบบชัดเจนสุดก็คงจะเป็นปุ่มกดออนบอร์ดที่จะมีเฉพาะในรุ่นนี้ ตรงส่วนของฮีทซิ้งค์ระบายความร้อนจะมีฮีทไปป์ติดมาให้ด้วย เพิ่มพอร์ต SATA 6Gb/s และ eSATA 6Gb/s ให้มาอีกอย่างละพอร์ต เป็นเพียง 3-4 จุดหลักๆ ที่ต่อเติมเข้ามาจากในรุ่น UP4TH ให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ดังนั้นถ้าใครมีรุ่นนี้อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนแต่อย่างใด แต่ถ้าใครยังไม่มีรุ่นไหนเลย ก็แนะนำว่าให้จัดรุ่นนี้ไปได้เลยเพราะเรียกว่าจัดเต็มมาทุกจุดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยจุดเด่นหลักๆ ที่ถือเป็นเทคโนโลยีชูโรงก็คงได้แก่พอร์ตใหม่ถอดด้ามอย่าง Thunderbolt ที่น่าจะกลายเป็นมาตราฐานใหม่ต่อจาก USB 3.0 ในไม่ช้านี้ ด้วยความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงถึง 10Mbps สองเท่าของ USB 3.0 เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถต่อเป็นพอร์ตกราฟิกต่อกับจอภาพได้อีกต่างหาก นอกจากนี้ตัวพีซีบียังได้พัฒนาเทคนโนโลยี Ultra Durable มาถึงในรุ่นที่ 5 ที่มีความสามารถในการระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่างๆ ได้ดีกว่าในรุ่นทั่วๆ ไปอีกด้วย
              ซีพียูที่สามารถนำมาใช้งานกับเมนบอร์ดรุ่นนี้ได้ก็ได้ทุกรุ่นที่เป็นซ็อกเก็ต 1155 ไม่เพียงแต่รุ่นใหม่อย่าง Ivy Bridge เท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึง Sandy Bridge ที่ออกมาก่อนหน้านี้อีกด้วย ทำให้ผู้ที่มีซีพียูรุ่นเก่าก็สามารถนำมาใช้งานกับเมนบอร์ดตัวนี้ได้ทันทีไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อใหม่แต่อย่างใด ทางด้านแรม DDR3 รองรับได้สูงสุดถึง 2800MHz และ 3200MHz ในโหมดโอเวอร์คล็อกกันเลยทีเดียว ซึ่งถึงว่าสูงมากที่สุดในขณะนี้ก็ว่าได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีแรมรุ่นไหนในตลาดที่จะมีความเร็วมาตราฐานความเร็วนี้ออกมาก็ตามแต่อนาคตก็คงมีแน่นอน สามารถใส่ได้สูงสุดที่ 32GB หรือแถวละ 8GB นั่นเอง
พอร์ต SATA จะมีมาทั้งหมด 9 พอร์ตด้วยกัน โดยแบ่งเป็นที่ใช้ชิปเซ็ต Z77 ในการควบคุมอยู่ 7 พอร์ดด้วยกันคือ SATA 6Gb/s x2 สีขาว, SATA 3Gb/s x4 สีดำและพอร์ต mSATA ที่อยู่ตรงกึ่งกลางบอร์ดอีกหนึ่ง ส่วนตัวชิปเซ็ต Marvell 88SE9172 จะใช้ในการควบคุมตัว SATA 6Gb/s ที่แยกออกมาเดี่ยวๆ ตรงด้านข้างบอร์ดอีกหนึ่งพอร์ตและ eSATA 6Gb/s ที่อยู่ด้านหลังอีกหนึ่ง ก็นับว่าครบถ้วนดีทีเดียวมีมาให้ครบทุกประเภท ถึงแม้ว่าในบ้านเรา mSATA อาจจะไม่ค่อยได้ใช้ก็ตาม
สำหรับสล็อตเอ็กแพนชั่น ก็มี PCIe 3.0 ให้มาอยู่ 3 สล็อตด้วยกันซึ่งจะวิ่งที่ x16 x8 และ x4 รองรับได้ทั้งเทคโนโลยี AMD CrossFireX และ nVidia SLI ที่เหลืออีกสี่สล็อตจะเป็น PCIe x1 ที่มีให้ถึงสามสล็อตและ PCI ให้มาอีกหนึ่งสล็อต
            ตัวพีซีบีแทบจะเป็นรุ่นเดียวกันกับ Z77X-UP4TH ไม่ว่าจะเป็นโทนสีดำเป็นหลักและแจมด้วยสีเทาและขาวในบางจุด รวมไปถึงการจัดวางสล็อตหรือพอร์ตต่างๆ ก็ไม่ต่างกันเลย เพียงแต่ในรุ่นนี้จะเพิ่มในส่วนของฮีทไปป์ที่ลากมากจากส่วนของฮีทซิ้งค์ซีพียูมายังส่วนของชิปเซ็ต Z77 นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยี Ultra Durable 5 ที่ใช้วัสดุในการจ่ายไฟที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอีกทั้งยังช่วยลดความร้อนของตัวบอร์ดให้ต่ำลงกว่าในรุ่นก่อนๆ อีกด้วย
พอร์ตด้านหลังมีการปรับเปลี่ยนจากในรุ่น 4TH อยู่เล็กน้อย โดยจะมีการตัดเอา PS/2 ออกที่ในปัจจุบันก็อาจจะไม่ค่อยจำเป็นนักเนื่องจากคีย์บอร์ดและเมาส์ต่างก็ใช้เป็น USB กันหมดแล้ว มีพอร์ตกราฟิกอย่าง D-Sub, DVI และ HDMI มาให้ครบ เสริมด้วย eSATA 6Gb/s ที่ไม่มีในรุ่น 4TH เข้ามา USB 3.0 มีมาให้ 4 พอร์ตและ USB 2.0 อีก 2 พอร์ต ส่วนสำคัญที่สุดก็คงเป็น Thunderbolt พอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถโอนถ่ายข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10Gb/s เลยทีเดียว
                                
                           
ผลการทดสอบ
       ไบออสแบบ 3D BIOS ของกิ๊กกาไบรท์น่าจะช่วยเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญก็สามารถเข้าใจได้ง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น อย่างการปรับความเร็วหรือจะโอเวอร์คล็อกก็เพียงแค่กดตรงรูปซีพียูก็จะขึ้นมาให้ดูแล้วว่าตอนนี้ใช้ตัวคูณเรโชที่เท่าไร ความเร็วระดับไหน อุณหภูมิ มีบอกหมดครบถ้วน ถ้าอยากเพิ่มความเร็วก็เพียงแค่เลื่อนตัวเลขไปเท่านั้นเองนับว่าสะดวกและรวดเร็วกว่าในอดีตเยอะที่กว่าจะหาเจอก็ต้องเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการปรับแต่งแล้วเท่านั้น
จะเปลี่ยนโปรไฟล์แรมก็เลือกผ่านโหมด 3D ได้เลยหรือจะเป็นการเลือกความเร็วแรมก็มีให้ปรับสูงสุดถึงระดับ 3200MHz เลยทีเดียว และถ้าต้องการปรับไฟเลี้ยงตามจุดต่างๆ ก็มีปุ่มให้เลื่อนปรับได้อย่างสะดวกเช่นกัน โดยในส่วนของ CPU Vcore จะปรับได้สูงสุดที่ 1.850V แรมได้สูงสุดที่ 2.100V ซึ่งก็เท่ากับในรุ่น UP4TH แต่ถ้าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งแล้วและอยากปรับให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นก็สามารถเข้าโหมด Advanced มาปรับอีกที ซึ่งจะมีรายละเอียดที่มากกว่าโหมด 3D อีกหลายจุดเหมือนกัน สำหรับการโอเวอร์คล็อกก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้บอร์ดชิปเซ็ต Z68 สามารถลากพาตัว Core i5-3570K จาก 3.4GHz ไปที่ 4.6GHz ได้อย่างสบาย

สรุป
          เมนบอร์ด Z77 ที่มาพร้อมกับการ์ดไวเลสแลนแบบติดเสาได้สองตัวส่งสัญญาณได้ถึง 300Mbps แถมยังพ่วงมาด้วย Bluetooth 4.0 เวอร์ชั่นล่าสุดอีกด้วย ทำให้สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ยังมี Thunderbolt ให้มาอีก 2 พอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อจอภาพและยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วถึง 10Gb/s
จุดเด่น : เมนบอร์ด Z77 พร้อมกับเทคโนโลยี Thunderbolt และ Ultra Durable 5
ข้อสังเกต : มี mSATA อยู่ตรงกลางบอร์ด
Quick Score 88% Excellent
Contact : GIGABYTE TECHNOLOGY ( Thailand )
URL : http://th.giga-byte.com
Price : Call

8. GIGABYTE Z77X-UP4TH เมนบอร์ด Z77 พร้อมพอร์ตสายฟ้า Thunderbolt

                                 
         ถึงแม้ว่าเมนบอร์ด Z77 ในตลาดขณะนี้จะมีออกมามากมายหลายสิบรุ่นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือเป็นชิปเซ็ตยอดนิยมที่ก็ยังมีรุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด จะมีการปรับแต่ง เพิ่มเติมฟีเจอร์ต่างๆ ก็แล้วแต่ละบริษัทจะสรรหามาใส่กัน ซึ่งในรุ่นนี้ของทาง GIGABYTE ก็ฉีกออกมาได้อย่างโดดเด่นด้วยการเพิ่มเติมเทคโนโลยี Thunderbolt ในขณะที่เจ้าอื่นยังไม่มี
         GIGABYTE Z77X-UP4TH เมนบอร์ดซีรี่ย์ใหม่ถอดด้ามจากค่ายกิ๊กกาไบร์ทที่ถึงแม้ว่าจะยังคงเป็นชิปเซ็ตตัวเดิมอย่าง Z77 อยู่ก็ตามแต่สำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใส่เข้ามายังตัวบอร์ดรุ่นนี้ต้องบอกว่าเป็นเมนบอร์ดสำหรับอนาคตอย่างแท้จริงทีเดียวไม่ว่าจะเป็น Ultra Durable 5 ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในเวอร์ชั่นล่าสุดที่นอกจากจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับตัวบอร์ดได้เป็นอย่างดีแล้วยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานเพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่วนอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ดูโดดเด่นกว่าบอร์ดค่ายอื่นก็คงเป็นพอร์ตแห่งอนาคตอย่าง Thunderbolt ที่มาพร้อมกับความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงถึง 10Gb/s แถมยังให้มาถึง 2 พอร์ต ซึ่งถือเป็นเพียงหนึ่งในสองรุ่นเท่านั้นที่มีพอร์ตชนิดนี้สำหรับเมนบอร์ดที่ใช้ชิปเซ็ต Z77 โดยอีกรุ่นนึงก็คือ UP5TH ที่จัดว่าเป็นรุ่นใหญ่สุดของซีรี่ย์
          สำหรับการรองรับซีพียูก็ครอบคลุมหลายสิบรุ่นไล่มาตั้งแต่ Sandy Bridge ในรุ่นก่อนที่เป็น 1155 จนมาถึง Ivy Bridge ที่เป็ยซีพียูในแบบ 22 nm แต่ก็ใช้ซ็อกเก็ตเดียวกันทำให้สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา ทางด้านแรม DDR3 รองรับได้สูงสุดถึง 2600MHz และ 2800MHz ในโหมดโอเวอร์คล็อกกันเลยทีเดียว ซึ่งถึงว่าสูงมากที่สุดในขณะนี้ก็ว่าได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีแรมรุ่นไหนในตลาดที่จะมีความเร็วมาตราฐานความเร็วนี้ออกมาก็ตามแต่อนาคตก็คงมีแน่นอน สามารถใส่ได้สูงสุดที่ 32GB หรือแถวละ 8GB นั่นเอง
พอร์ตสตอเรจให้มาที่ 6 พอร์ต โดยแบ่งออกเป็น SATA 3Gb/s ทั้งหมด 4 พอร์ต และ SATA 6Gb/s อีก 2 พอร์ต รองรับ RAID 0, 1, 5 และ 10 แถมยังมี mSATA ที่อยุ่กึ่งกลางบอร์ดมาให้อีกหนึ่ง ซึ่งก็มีไว้เพื่อใช้งานกับ SSD ที่เป็นอินเทอร์เฟสนี้โดยเฉพาะเพื่อใช้งานร่วมกับฮาร์ดดิสก์ในเทคโนโลยี Intel Smart Response แต่ในไทยก็อาจจะหาไดรฟ์ประเภทนี้ได้ยากซักหน่อย PCIe 3.0 x16 จัดมาให้ที่ 3 สล็อตซึ่งจะวิ่งที่ x16, x8 และ x4 ตามลำดับ สามารถรองรับได้ครบทั้ง CrossFireX และ SLI ส่วน PCIe x1 มีให้มาถึง 3 สล็อต และ PCI ให้มาอีกหนึ่ง
             ตัวพีซีบีจะใช้สีเพียงดำและน้ำเงินเท่านั้นเป็นหลักทั้งในส่วนของสล็อตต่างๆ และส่วนของฮีทซิ้งค์ระบายความร้อนที่ก็ผสมกันเพียงสองสีเท่านั้น ทำให้ดูสวยงามไม่เยอะเกินไปเหมือนกับรุ่นก่อนๆ ในอดีตที่ใส่สีกันมามากมายเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง Ultra Durable 5 ที่พัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในรุ่นที่ห้าแล้ว มีจุดเด่นตรงการเพิ่มชั้นทองแดงขนาด 2 เท่ามาไว้ในส่วนของชั้นเลเยอร์ของตัวแผ่นพีซีบีส่งผลให้การกระจายความร้อนทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของภาคจ่ายไฟซีพียูที่จะมีความร้อนสูง อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้มากถึง 50% เลยทีเดียว ส่งผลให้การโอเวอร์คล็อกทำได้ดีกว่าเดิม
           ทางด้านหลังพอร์ตกราฟิกมีครบทั้ง D-Sub, DVI และ HDMI โดยตัดเอา Display Port ออก แต่ก็แทนที่ด้วย Thunderbolt 2 พอร์ตแทนซึ่งนอกจากจะเป็นพอร์ตที่สามารถโอนถ่ายข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงถึง 10Gb/s แล้วยังสามารถส่งสัญญาณภาพได้ด้วยที่ความละเอียดสูงสุดถึง 2560 x 1600 มี USB ซึ่งเป็นแบบ 2.0/3.0 คือใช้ได้ทั้งสองแบบไม่ต้องแยกกันเหมือนบอร์ดตัวอื่นอยู่ 6 พอร์ต ส่วนระบบเสียงรองรับเสียงได้ถึง 7.1 แชนแนลและมีพอร์ตทั้งที่เป็นอนาล็อกและดิจิตอล
                            
ผลการทดสอบ
ไบออสแบบ 3D BIOS ของกิ๊กกาไบรท์น่าจะช่วยเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญก็สามารถเข้าใจได้ง่ายเพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น อย่างการปรับความเร็วหรือจะโอเวอร์คล็อกก็เพียงแค่กดตรงรูปซีพียูก็จะขึ้นมาให้ดูแล้วว่าตอนนี้ใช้ตัวคูณเรโชที่เท่าไร ความเร็วระดับไหน อุณหภูมิ มีบอกหมดครบถ้วน ถ้าอยากเพิ่มความเร็วก็เพียงแค่เลื่อนตัวเลขไปเท่านั้นเองนับว่าสะดวกและรวดเร็วกว่าในอดีตเยอะที่กว่าจะหาเจอก็ต้องเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับการปรับแต่งแล้วเท่านั้น
จะเปลี่ยนโปรไฟล์แรมก็เลือกผ่านโหมด 3D ได้เลยหรือจะเป็นการเลือกความเร็วแรมก็มีให้ปรับสูงสุดถึงระดับ 3200MHz เลยทีเดียว และถ้าต้องการปรับไฟเลี้ยงตามจุดต่างๆ ก็มีปุ่มให้เลื่อนปรับได้อย่างสะดวกเช่นกัน โดยในส่วนของ CPU Vcore จะปรับได้สูงสุดที่ 1.850V แรมได้สูงสุดที่ 2.100V แต่ถ้าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการปรับแต่งแล้วและอยากปรับให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นก็สามารถเข้าโหมด Advanced มาปรับอีกที ซึ่งจะมีรายละเอียดที่มากกว่าโหมด 3D อีกหลายจุดเหมือนกัน สำหรับการโอเวอร์คล็อกก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้บอร์ดชิปเซ็ต Z68 สามารถลากพาตัว Core i5-3570K จาก 3.4GHz ไปที่ 4.6GHz ได้อย่างสบาย
สรุป
เมนบอร์ด Z77 ที่รองรับซีพียูได้ถึง Ivy Bridge พร้อมกับสล็อต mSATA กึ่งกลางบอร์ดสำหรับการใช้งานกับตัว SSD เพื่อใช้งานในโหมด Intel Smart Response มี PCIe 3.0 สามารถใช้งานได้ทั้ง SLI และ CrossFireX มีพอร์ต Thunderbolt ให้มาถึง 2 พอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อจอภาพและยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วถึง 10Gb/s
จุดเด่น : เมนบอร์ด Z77 พร้อมกับเทคโนโลยี Thunderbolt และ Ultra Durable 5
ข้อสังเกต : มี mSATA อยู่ตรงกลางบอร์ด
Quick Score 87% Excellent
Contact : GIGABYTE TECHNOLOGY ( Thailand )
URL : http://th.giga-byte.com
Price : Call

9. GIGABYTE G1.Sniper M3 เมนบอร์ด Z77 ที่ใช้ได้ทั้ง SLI และ CrossFireX

                                    
         ถึงแม้ว่าซีพียูรุ่นใหม่จากอินเทลที่ใช้กระบวนการผลิต 22 nm จะยังไม่ได้มีการวางขายก็ตาม แต่ขณะนี้เราก็จะได้เห็นเมนบอร์ดที่ใช้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ตัวนี้เริ่มที่จะวางขายกันหลายรุ่นแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมันสามารถรองรับซีพียูในปัจจุบันได้ด้วยนั่นเอง และหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจก็ต้องเป็นรุ่นนี้ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีต่างๆ มากมาย
         GIGABYTE G1.Sniper M3 เมนบอร์ดรุ่นเล็กแต่มาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Z77 ที่ออกมาเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Ivy Bridge ซีพียูในแบบ 22 nm ที่จะออกมาในอนาคต แต่ก็สามารถใช้ได้กับซีพียูที่เป็นซ็อกเก็ต LGA1155 ในขณะนี้ได้ด้วยเช่นกัน เรียกว่าซื้อมาวันนี้ก็ยังใช้งานได้อีกยาวเลยทีเดียว ทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็จัดเต็มกันมาแบบครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น PCIe 3.0, Intel Rapid Start, Intel Smart Connect, Ultra Durable 4, Lucid Virtu, EZ Smart Response
ทางด้านแรม DDR3 รองรับได้สูงสุดที่ 1600MHz และใส่ได้เต็มที่ถึง 32GB มีพอร์ต SATA 3Gb/s ทั้งหมด 3 พอร์ตที่เป็นสีดำ ส่วนที่เป็นสีขาวอีก 2 พอร์ตจะเป็นส่วนของ SATA 6Gb/s ซัพพอร์ต RAID 0, 1, 5 และ 10 สล็อตเอ็กแพนชั่นมีให้มา 4 สล็อตตามสไตล์เมนบอร์ดรุ่นเล็ก โดยแบ่งเป็นในส่วนของ PCIE 3.0 x16 ทีมีอยู่ 3 สล็อตซึ่งจะวิ่งที่ x16 x8 และ x4 รองรับครบทั้งเทคโนโลยี CrossFireX และ SLI มี PCIe x1 มาให้อีกหนึ่งสล็อต
        ตัวพีซีบีมาในขนาด Micro ATX แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแออัดแต่อย่างใด สามารถจัดวางส่วนต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ โดยจะมาในโทนสีเขียวและดำเพียงตัดสลับกันเพียงสองสีเท่านั้นซึ่งก็ดูสวยไปอีกแบบ ทางด้านฮีทซิ้งค์จะติดมาเพียงตัวเดียวเท่านั้นสำหรับในส่วนของภาคจ่ายไฟซีพียูและอีกตัวก็จะติดตรงส่วนของชิปเซ็ต Z77 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง Ultra Durable 4 ที่พัฒนากันมาอย่างต่อเนื่องจนมาถึงในรุ่นที่สี่แล้ว มีจุดเด่นตรงการเพิ่มชั้นทองแดงขนาด 2 เท่ามาไว้ในส่วนของชั้นเลเยอร์ของตัวแผ่นพีซีบีส่งผลให้การกระจายความร้อนทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของภาคจ่ายไฟซีพียูที่จะมีความร้อนสูง อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้มากถึง 50% เลยทีเดียว ส่งผลให้การโอเวอร์คล็อกทำได้ดีกว่าเดิม
          ในส่วนของตัวพีซีบีเองก็มีการเปลี่ยนวัสดุมาใช้เป็น Glass Fabric ที่จะมีช่องว่างระหว่างเส้นใยแคบลงกว่าเดิมส่งผลให้ความชื้นเข้าไปสะสมได้น้อยลงส่งผลให้ตัวบอร์ดได้รับความเสียหายได้ยากยิ่งขึ้นอีกด้วย สามารถป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรและความผิดพลาดของระบบที่เกิดจากสภาพอากาศที่มีความชื้นสูงได้ดี ทางด้านตัวคาปาซิเตอร์ก็เปลี่ยนมาใช้เป็น โซลิด คาปาซิเตอร์ แท้ๆ จากญี่ปุ่นทั้งหมดที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึงกว่าห้าหมื่นชั่วโมง ส่วนตัว Lower RDS(on) MOSFETs ก็มีอุณหภูมิต่ำกว่ารุ่นทั่วๆ ไป
        ทางด้านหลังพอร์ตกราฟิกมากันครบทั้ง 4 รูปแบบไม่ว่าจะเป็น D-Sub, DVI, HDMI และ Display Port ที่สามารถรองรับความละเอียดได้สูงถึง 2560 x 1600 มี USB 2.0 และ 3.0 รวมกันที่ 6 พอร์ต ส่วนระบบเสียงก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันเพราะใช้ชิปเซ็ต CA0132 จาก Creative ที่รองรับ
                             
ผลการทดสอบ
หน้าจอในการปรับแต่งไบออสวิวัฒนาการมาเป็น 3D Bios ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดของค่ายกิ๊กกาไบร์ตที่ไม่เพียงแต่จะใช้เมาส์และเป็นรูปแบบการปรับแต่งจากตัวหนังสือเป็นไอคอนต่างๆ แล้ว ยังล้ำสมัยมาด้วยการโชว์ภาพให้เห็นเมนบอร์ดทั้งตัวกันเลยทีเดียว และสามารถชี้ไปตามจุดต่างๆ เพื่อเลือกเข้าไปปรับในส่วนนั้นๆ ได้เลย นับว่าเป็นเจ้าแรกก็ว่าได้ที่ทำมาในรูปแบบนี้ แปลกใหม่และดูน่าสนใจดีไม่น้อยสำหรับผู้ที่เบื่อความซ้ำซากจำเจจากรุ่นอื่นๆ การปรับไฟเลี้ยงก็สามารถปรับได้ทาง 3D Bios หรือจะปรับแบบละเอียดก็ทำได้เช่นกัน โดยตัว Vcore ก็ปรับได้สูงสุดที่ +0.640mV QPI ได้ที่ 1.700V สำหรับการโอเวอร์คล็อกก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้บอร์ดชิปเซ็ต Z68 สามารถลากพาตัว Core i5-2500K จาก 3.3GHz ไปที่ 4.8GHz ได้ไม่ต่างกัน
สรุป
เมนบอร์ด Z77 ที่รองรับซีพียูได้ถึง Ivy Bridge โดยมาในขนาด Micro ATX ซึ่งออกแบบมาได้อย่างสวยงามถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีไซน์ฮีทซิงค์มาได้อย่างมีเอกลักษณ์เหมือนกับบรรดารุ่นพี่ๆ ก็ตาม สามารถใช้งานได้ทั้ง SLI และ CrossFireX มีพอร์ตกราฟิกครบทั้ง 4 รูปแบบ
จุดเด่น : เมนบอร์ด Z77 รองรับซีพียู Ivy Bridge 22nm พร้อมกับเทคโนโลยี Virtu MVP
ข้อสังเกต : ไม่มีปุ่มกดออนบอร์ด
Quick Score 82% Excellent
Contact : GIGABYTE TECHNOLOGY ( Thailand )
URL : http://th.giga-byte.com
Price : Call

10. CPU Intel LGA-1156

                  ซีพียูรุ่นใหม่คอร์ i5 และ i7
             การมาของโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ LGA-1156 ที่มีทั้ง Core i5 และCore i7 นี้ กำลังจะเปิดตัวในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้แล้วนะครับ บางคนสงสัยแล้วทำไมเงียบจัง มันน่าจะดังพลุแตกก่อนการเปิดตัวซีพียูอย่างรุ่นพี่ๆ บ้าง อันนี้อาจจะเป็นกลยุทธ์เงียบๆ ของทางอินเทล ก็อาจเป็นไปได้ แต่วันนี้ขอมาเปิดเผยบางอย่างให้คุณผู้อ่านได้รับทราบบ้างนะครับ โดยเริ่มจากการเปิดตัวชื่อคอร์ใหม่ i5 ที่มีชื่อแบบเป็นทางการว่า Core i5-750 โดยมีสปีดความเร็วระดับ 2.66 GHz ตามด้วยคอร์ชื่อเดิม แต่เป็นช็อกเก็ตใหม่อย่าง i7 ที่มีให้ยลโฉมถึง 2 ตัว ได้แก่ Core i7-860 และ Core i7-870 โดยมีความเร็วตามลำดับดังนี้ 2.80 GHz และ 2.93 GHz ครับ หลายคนสงสัยแล้วทำไมไม่ตั้งเป็น Core i5 ไปเลยล่ะครับ ทำไมต้องตั้งเป็นชื่อ i7 ที่สร้างความสับสนอีกครับ คำตอบก็คือว่า Core i5 นั้นจะรองรับเทคโนโลยีไฮเปอร์เธรดดิ้ง แต่ Core i7 นั้นรองรับเทคโนโลยีไฮเปอร์เธรดดิ้งครับ ส่วนทำไมต้องใช้ Core i7 นั่นก็เพราะว่ามีหลายส่วนของระบบที่ยังใช้เทคโนโลยีเดียวกับ Core i7 อย่างรุ่นพี่อยู่ครับ ต่างแค่ระบบบัสเชื่อมต่อที่ใช้งาน และช่องทางการเชื่อมต่อของเมมโมรี่ครับ นอกนั้นเหมือนกันเกือบทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นตัวคอร์ซีพียูทำงานทั้งหมด 4 คอร์ หรือพูดง่ายๆ ว่า Quad Core ที่แท้จริงนั่นเองครับ หน่วยความจำแคชระดับ 3 ก็มีให้ใช้งาน รองรับหน่วยความจำแบบ DDR3 เป็นต้น